รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง

รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง
มัณฑะเลย์ โมนยวา พุกาม ทะเลสาบอินเล ย่างกุ้ง สิเรียม หงสาวดี พระธาตุอินทร์แขวน

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วันที่ 7 นั่งรถไฟจากย่างกุ้งไปหงสาวดี(พะโคะ) หรือบ่ะโก ชมเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ นั่งรถบัสไปคินปุนเบสแคมป์เพื่อไปต่อรถขนหมูขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน(ไจ๊ก์ถิโย)

วันอังคาร ที่ 20 พฤษภาคม 2557 (2014) เป็นวันที่ 7 ของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศพม่าของพวกเรานะครับ วันนี้แพลนของเราคือลองนั่งรถไฟพม่าครับ โดยจะนั่งแค่ระยะสั้นๆคือจากย่างกุ้งไปสถานีพะโคะ หรือบะโก (หรือเมืองหงสาวดีครับแล้วแต่จะเรียก) แล้วก็แวะชมเจดีย์ชเวมอดอว์ 1 ใน 5 สถานบูชาสูงสุดของพม่าครับ แล้วก็จะหารถต่อไปยังคินปุนเบสแคมป์ไปขึ้นรถทุกหมูขึ้นไปพระธาตุอินทร์แขวนหรือไจก์ถิโยกันครับ มาชมกันนะครับว่าวันนี้เราเจออะไรบ้าง แต่ก่อนอื่นก็ขอเชิญคลิปการเดินทางของวันนี้กันก่อนนะครับ น้องออดี้เขาทำเอาไว้ครับ 


วันนี้เรานัดคนขับรถที่พาเราไปเที่ยวเยเลพญาเมื่อวานครับ ให้มารับตอนตี ู5 15 นาที ผมsearch หาตารางรถไฟในอินเตอร์เน็ทก่อนหน้านี้แล้วคือจะมีเที่ยว 6 โมงเช้าจากย่างกุ้งไปพะโคะครับ ที่จริงมีหลายขบวน เราอยากไปให้ถึงพระธาตุอินทร์แขวนเร็วๆก็เลยเดินทางกันแต่เช้าครับ ทริปนี้จากที่เราเดินทางกันมา 5 คนเหลือแค่ 4 คนนะครับ เพราะตาโรธตัดสินใจเฝ้าห้องให้เพราะแกบอกว่าเหนื่อย เลยอาสาอยู่ย่างกุ้งต่อ(แกจะไปดูหนังเรื่องปากหมาท้าแม่นาคอะไรซักอย่างหนังไทยแต่ไปฉายอยู่พม่าครับตอนนั้น เรื่องนี้พอดี) จองห้องที่แอ๊กก้าเกสท์เฮ้าส์ไว้เก็บกระเป๋าไว้ 1 ห้องครับ เพราะขี้เกียจเป็นภาระขึ้นไจก์ถิโย (ที่จริงเอากระเป๋าเดินทางไปก็ได้ครับ รถขนหมูที่ใช้ขึ้นไจ๊ก์ถิโยเขามีส่วนที่เก็บของด้วยครับตอนท้ายรถ แต่เท่าที่สังเกต ช่องมันเล็กครับ ใส่ได้ไม่กี่ใบหรอก ถ้าไม่จำเป็นผมว่าฝากไว้ที่ดรงแรมที่ย่างกุ้งดีกว่าครับ หรือไม่ก็เช่าห้องไว้เก็บกระเป๋าสัก 1 คืนก็ได้ครับถ้ากลัวของหาย ของพวกผมเดินทางหลายคน เลยแชร์กัน ตกจ่ายคนละ 100 กว่าบาท ห้องไม่แพงครับ) 


นั่งแท็กซี่จากโรงแรมแอ๊กก้าเกสท์เฮ้าส์มาไม่ถึง 15 นาทีก็มาถึงสถานีรถไฟย่างกุ้งครับ  ภาพสถานีรถไฟย่างกุ้ง ผมก๊อปมาจาก http://myanmarinsider.blogspot.com/2013/05/the-yangon-heritage-walking-tour.html ครับ เพราะลืมถ่ายเอาไว้ ตอนไปตอนเช้ามันยังมืดอยู่ครับ


ไปถึงสถานีเดินเข้าไปซื้อตั๋วด้านใน เห็นคนเข้าแถวซื้อตั๋วกันครับ แต่ด้านหน้าแถวไม่เป็นแถวเลยครับ โชคดีที่ชาวบ้านคนหนึ่งแต่หน้าตาพี่แกออกไปทางอินเดียแต่เป็นพม่านะครับ มาถามเราว่าจะซื้อตั๋วชั้นธรรมดาหรือ Upper class ผมบอกว่าอัพเปอร์คลาส แกเลยบอกว่าให้เดินไปอีกฝั่ง แต่อยู่ใกล้กันครับ แค่คนละมุม 


แต่ฝั่งที่เป็น Upper Class ยังไม่เปิดครับ ต้องไปเรียกเจ้าหน้าที่ แปลกดีเหมือนกัน หรือว่าเขาไม่อยากขายตั๋วอัพเปอร์คลาสเท่าไหร่เพราะคนพม่าจะซื้อชั้นธรรมดาซะส่วนใหญ่


โชคดีที่ไปเรียกเจ้าหน้าที่เลยได้ซื้อเป็นคนแรก เห็นชาวบ้านพม่ามาต่อหลังเรา แต่เขาไม่เข้าแถวกันเลยครับ ดีที่เรามาซื้อก่อน ไม่งั้นต้องรออีกนาน และจะต้องเอาพาสปอร์ตของทุกคนมาโชว์ด้วยนะครับ กี่คนก็ต้องเอามาโชว์เจ้าหน้าที่ แล้วก้จะบอกว่ากว่าพี่แกจะออกตั๋วเสร็จ ปาเข้าไปเป็น 10 นาที พลิกไปพลิกมา เขียนโน่นเขียนนี่ และต้องเขียนชื่อเราทุกคนไว้บนตั๋วด้วยครับ 


ผมเอาตั๋วมาสแกนใหม่แล้วครับ 4 คนจากย่างกุ้งไปพะโคะ แบบชั้น Upper Class ราคา 3,500 จั๊ตครับ แค่ 116 บาทเองครับ ถูกมากๆๆ ตกคนละ 29 บาท โอ้ว มายก้อด ราคาถูกมากครับ 


ซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เดินเข้ามาในสถานี ป้ายดิจิตอลบอกขวนรถไฟมีแต่ภาษาพม่าล้วนๆครับไม่มีภาษาอังกฤษเจือปน เจ้าหน้าที่เห็นรถไฟเห็นเรายืนงงอยู่เลยเข้ามาขอดูตั๋วแล้วแกก็พาเราเดินไปขึ้นยังขบวนที่จะไปพะโคะครับ  น่ารักมาก ใจดีจริงๆ


ภายในชานชลาครับ ขบวนนี้แหละครับ ที่เราต้องขึ้น ที่จริงก็มีแต่ขบวนนี้แหละครับที่จอดอยู่ แต่ตู้ไหนเราไม่รู้ ต้องให้เจ้าหน้าที่พาไป เพราะดูข้อมูลในตั๋วไม่รู้เรื่องเลย อ่านไม่ออกทั้งภาษาอังกฤษทั้งภาษาพม่าครับ ลายมือโหดร้ายมาก 


สภาพภายในตู้รถไฟชั้นอัพเปอร์คลาส (Upper Class) ครับ


ออกมาถ่ายรูปภายนอกขบวนก็ถึงบางอ้อครับ มันมีชื่อคลาสบอกไว้แล้วครับนี่ไง Upper Class น่ะ


6 โมงเช้ารถก็เคลื่อนขวนครับไม่เลท


ชมบรรยากาศสองข้างทางรถไฟครับ 


หัวรถจักรลากขบวนสวนทางกับเรา


แบบนี้น่าจะเป็นตู้แบบชั้นธรรมดาครับ


ถึงสถานีอะไรก็ไม่รู้ครับ ไม่มีการบอกเหมือนสถานีรถไฟบ้านเราครับ 


ชื่อสถานีก็มีแต่ภาษาพม่าครับ 5555


แต่ที่ป้ายเสาบอกสถานีแบบนี้มีภาษาอังกฤษครับ ก็พอได้ดูกัน จะได้ลงถูก


ชมวิถีชีวิตชาวบ้านริมทางรถไฟไปเรื่อยๆครับ ยิ่งออกนอกเมืองรถไฟพม่าก็เขย่าแรงมากๆครับ เรากังวลกลัวว่ามันจะหลุดออกจากขบวนเสียจริงๆเลยครับ เขย่าซ้ายทีขวาทีขึ้นบนลงล่างรอบทิศทางครับ เหมือนขี่ม้ายังไงยังงั้นเลยครับ 


สักพักเจ้าหน้าที่รถไฟเดินมาขายข้าวผัดไข่ดาวครับ อร่อยครับ ขอบอก แนะนำให้ลองครับ ไม่แพง รู้สึกจะ 1,500 จั๊ตครับถ้าจำไม่ผิด  (50 บาท)  ลุงเสริมแกอยากกินกาแฟ เลยซื้อให้ ปรากฏว่ากินไม่ได้ครับ น้ำร้อนมาก แล้วรถก็กระเด้งกระดอนตลอดเวลา เลยต้องรอให้มันเย็น และอาศัยช่วงที่รถเขย่าน้อยที่สุด แล้วก็ซดแบบรวดเร็ว 


เวลา7:45 น. รถมาถึงพะโคะครับ ที่จริงมีคนพม่าอีกคนที่นั่งมาด้วยกันบอกครับ เพราะพี่แกลงพะดคะเหมือนกัน โชคดีไปครับ ตอนแรกกลัวนั่งเลยสถานีมากๆ ลงรถมาแล้ว ชาวบ้านที่รอขบวนเราก็ขึ้นรถต่อไป ไปไหนก็ไม่รู้ครับ  เราก็ลงแค่นี้ ลองนั่งระยะทางสั้นๆ จะได้สัมผัสความเป็นพม่าได้ครบทุกรสชาติครับ 


ลงรถไฟแล้วต้อองเดินข้ามสะพานลอยไปอีกฟากหนึ่งนะครับ เพื่อเข้าไปยังสถานีรถไฟพะโคะ


ป้ายบอกสถานีพะโคะครับ พม่าออกเสียง "บะโก"


อีกรูปครับ ชัดๆ ฝนก็ตกลงมาปรอยๆ 


เดินเข้าไปหาห้องน้ำในสถานีครับ เพราะบนรถไฟ ฉี่ไม่ได้ครับ มันกระเด้งกระดอนจนฉี่หดหมดเลยครับ กลัวฉี่เปื้อนกางเกงด้วย เลยไม่เสี่ยง อันนี้พูดจริงๆ ยกเว้นว่าใครมีความสามารถก็ถือว่าโชคดีไป 5555 

สักพักมาคนมาทาบทามว่าเราจะไปไหนครับ เมืองนี้ขอบอกว่าคนหงสาวดี ที่พม่าเคี่ยวที่สุดครับ จะเอาตังค์จากเราให้ได้จากทุกอย่างครับ จริงๆ เดี๋ยวจะมาเล่าให้อ่านต่อครับ คือพูดตรงๆว่าประทับใจเมืองนี้น้อยที่สุดเลยครับ 


มีคนมาติดต่ออเราสองสามคน เราบอกว่าแค่อยากไปเจดีย์ชเวสิกองแล้วให้พาเราไปขึ้นรถที่ท่ารถเพื่อไปคินปุนเบสแคมป์คิดเท่าไหร่ เขาบอก 15,000 จั๊ต ต่อเหลือ 10,000 จั๊ต (333 บาท) สักพักพี่แกออกไปข้างนอกให้เรายืนรอ แล้วไปเรียกรถใครมาก็ไม่รู้ คือประมาณว่าเป็นนายหน้า หรือเป็นไกด์ อีกทีหนึ่ง 


พอรถมา เป็นรถคล้ายๆตุ๊กๆบ้านเรา แต่คันใหญ่กว่า นั่งได้หลายคน พี่แกก็ขึ้นมาพร้อมกับเราด้วยสองคน เลยถ่ายรูปเอามาแฉ ถึงความอึดอักที่เราได้รับจากพวกเขา คือบอกตรงๆว่าไม่ชอบ แต่ก็ยังหน้าด้านขึ้นมา ก็ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นรถของเขาเองดันเรียกคนอื่นมารับค่านายหน้า ค่าหัวคิว ฮ่วย!!! ผมคิดว่าทางที่ดีถ้าใครมาเดินทางเลียนแบบผม ถ้าไม่มีสัมภาระั หรือฝนไม่ตกก็ออกมาเดินแถวตลาด หารถเอง น่าจะได้ถูกกว่านี้แน่ๆครับ ไม่ต้องผ่านจ่ายค่าหัวคิวให้ไกด์เถื่อนด้วยครับ 


ไหนๆก็ขึ้นมาแล้ว เลยพยายามทำใจ นั่งไปกับมันแบบไม่เป็นมิตร คือมันชวนคุยอะไรก็ไม่คุย เพราะไม่ชอบ มันจะถ่ายรูปให้ก็ไม่เอา รถตุ๊กๆพาออกมานอกสถานีผ่านตลาดร้านค้าผู้คน ระคนด้วยเสียงแตรที่บีบกันอย่างสนุกมือของบรรยายวดยานทั้งหลายจนน่ารำคาญ ถนนก็ขรุขระนั่งในรถโยกไปโยกมา แถวรำคาญไกด์บ้านี่อีก บอกคำเดียวว่าเซ็ง....


ถ่ายจากในรถค่อนข้างลำบากตครับ โยกไปโยกมา 


วิถีชาวบ้านเมืองบะโก หรือหงสาวดี อดีตราชธานีของพม่าด้วยครับ 


ผ่านอะไรก็ไม่รู้ครับ คล้ายๆบึง ในเมือง


ตาไกด์สองคนบอกเราว่าให้จ่ายค่าชมเจดีย์กับเขาคนละ 10,000 จั๊ต ซึ่งจะเท่ากับครึ่งราคา แต่ผมมาคิดดูแล้วเท่าที่อ่านหนังสือมา ค่าชมโบราณสถานในเมืองหงสาวดี เหมาจ่ายรวมก็ 10 $ จ่ายเฉพาะที่พระราชวังบุเรงนองเท่านั้นครับ ก็เท่ากับประมาณ 10,000 จั๊ต พอดี แล้วทำไมยังบอกว่าครึ่งราคา ฮ่วย!!! อย่างนี้มันหลอกกันชัดๆ ในเมื่อหลอกกันอย่างนี้ผมไม่จ่ายกับมันครับ กะว่าจะไปจ่ายโดยตรงกับที่เจดีย์ดีกว่าครับ แต่มันก็พาเราอ้อมมาด้านหลังเจดีย์เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าเข้าครับ (เพื่อที่จะได้ค่าเข้าเก็บไว้เองถ้าเราเสียค่าโง่ให้มัน) ด้านหลังเจดีย์เดินขึ้นมานิดเดียวครับ เห็นองค์เจดีย์ชเวมอว์ดอว์เด่นตระหง่าน เหลืองอร่ามสูงลิบลิ่ว


เดินชมรอบๆเจดีย์ครับ เจดีย์ชเวมอว์ดอว์ หรืออีกชื่อเรียกว่าพระธาตุมุเตาครับ ชื่อมุเตาเพี้ยนมาจากภาษามอญ แปลว่าจมูกร้อน เพราะเจดีย์สูงใหญ่ เวลามองก็ต้องแหงนหน้ามอง จมูกเลยร้อนครับ ประมาณนั้น มีความสูง 114 เมตร บางตำราบอกว่าสูง 125 เมตร ซึ่งสูงกว่าเจดีย์ชเวดากองที่ย่างกุ้งนะครับ ตัวเจดีย์เป็นศิลปะแบบมอญ ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า 2 เส้น 


ยอดเจดีย์เก่าที่เคยชำรุดหล่นลงมาจากแผ่นดินไหว ดูสิครับว่าใหญ่ขนาดไหน เทียบกับขนาดคนที่เดินอยู่ ตรงนี้เป็นจุดอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ครับ ให้เอามือและหน้าผากแต่ไปตรงยอดเจดีย์เก่าอันนี้แล้วอธิษฐาน


ไม่มีรูปเจดีย์เก่าๆครับ มีแต่รูปนางแบบ ทนๆดูเอาหน่อยครับ 


เดินไปวนไปวนมาก็มาไหว้พระ ไม่เห้นมีใครมาบอกว่าให้จ่ายตังค์เลยทำเนียนๆครับ สรุปว่าผมไม่ได้จ่ายค่าเข้าครับที่นี่ 


สรุปว่าไม่ได้จ่ายค่าเข้าชมครับ เพราะไม่เห็นมีใครมาเก็บ เลยเดินกลับไปที่รถโฉมหน้าไกด์เถื่อนครับ แต่คนขับนั้นไม่ใช่นะครับ เขาโดนไกด์เถื่อนเรียกมาอีกที  เห็นเราไม่จ่ายค่าเข้าชมสถานที่กับเขาแล้ว เขาก็ไม่กล้าทวงครับเพราะคงรู้ว่าเรารู้ไต๋ว่าเอาเองแหงๆ  แล้วเราก็บอกว่าเราจะไปท่ารถเลย เพื่อที่จะไปคินปุนเบสแคมป์เพื่อต่อรถขนหมูขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน (เท่าที่อ่านหนังสือมา เพื่อความสบายใจก็ให้เขาพาเราไปพระราชวังบุเรงนองก่อนนะครับ จ่ายค่าเข้า 10$ แล้วก็สามารถเที่ยวที่อื่นได้เลยไม่จ่ายเพิ่ม แต่พวกไกด์เถื่อนมักจะบอกว่าให้จ่ายค่าเข้ากับเขาเพราะเขาจะเอาเอง และจะพาเราหลบเลี่ยงการจ่ายค่าเข้าไปด้านอื่นที่ไม่มีการตรวจครับ)


คนขับพาเราไปยังสถานที่ที่เราบอกว่าเป็น Bus Terminal หรือสถานีขนส่งครับ แต่มันไม่ใช่ มันพาเรามาตรงแผงลอยท่ารถนี้ครับ ประมาณคล้ายๆป้ายรถเมล์ครับ มีเก้าอี้มีม้านั่งให้ แต่ถ้าจะเข้าห้องน้ำต้องไปขอเข้าที่ร้านอาหารใกล้ๆกับตรงนี้ครับ คิดๆดูก็หมั่นไส้ที่มันเล่นกันอย่างนี้เลยครับ ทำเป็นกระบวนการ เมืองนี้ผมว่าแย่ที่สุดเลยครับ เอาค่าหัวคิวกันเป็นระบบ ไหนๆก็โดนมันหลอกแล้ว ขี้เกียจไปเซ้าซี้มันอีก เดี๋ยวมันอาจจะพาเราไปฆ่าหมกป่าจะทำไง 555 (อันนี้คิดในใจเฉยๆครับ แต่ขี้เกียจรำคาญแล้วเลยยอมๆมันไป) ผมถามว่าราคาตั๋วรถปรับอากาศไปคินปุนเบสแคมป์เท่าไหร่ มันบอกว่า คนละ 6,000 จั๊ต (200 บาท) ก็โอเคครับ ไม่แพงมาก พอรับได้ ถึงแม้จะรู้ว่ามันหลอกกินค่าหัวคิว คิดในใจ เงินที่ได้กำไรจากเรา มันคงพาไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียที่บ้านครับ ช่างมัน 

นี่แหละครับ หน้าตาตั๋วที่เขาออกให้เรา ไม่เขียนราคาซะด้วย เขียนแต่รอบรถบัสเวลา  9:00 a.m. เพื่อเดินทางไปยัง Kin Pun base camp เก็บเอามาแฉ 


ดูสิครับ บรรยากาศสถานที่ที่เรานั่งรอรถบัส แต่คนขายตั๋วก็ยังมีมิตรไมตรี มาชวนเราคุยด้วยนิดหน่อย 


ตรงกำแพง ที่เรานั่งรอ สันนิษฐานได้เลยว่าพวกนี้คือนายหน้า ขายตั๋วนักท่องเที่ยว ทำกันเป็นกระบวนการ เพื่อรับค่าคอมมิชชั่น


นั่งรอไปเบื่อๆก็ถ่ายรูปเล่น เทห์มั้ยล่ะครับ พระพม่า นั่งหลังคารถเลยครับ 


เวลา 9 โมงเช้านิดๆ คนที่ขายตั๋วพาเราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม (พม่าขับรถเลนขวา แต่พวงมาลัยขวาครับ) รถเยอะน่าหวาดเสียว แต่ก็ดีที่เขาพาเราข้ามถนนมาขึ้นรถอย่างปลอดภัย พอขึ้นรถเท่านั้นแหละครับ ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่รถแอร์ มันเป็นรถที่มีแอร์แต่คงเสีย เพราะต้องเปิดหน้าต่าง ผมเซ็งมาก ด่าพวกเวรนี้ในใจไปตลอดทาง ข้อหา หลอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฮงซวยที่สุดครับเมืองนี้ขอบอก คนไม่มีความซื่อสัตย์เลย คิดแต่จะเอาเปรียบจากนักท่องเที่ยวอย่างเดียวจริงๆครับ (พยายามทำใจว่าเราก็ต้องนั่งทนร้อนไปอีก 3 ชั่วโมงกว่าจะถึงคินปุนเบสแคมป์ครับ ) รถก็เกือบจะเต็มแล้วครับ โชคดีที่ยังมีที่นั่งให้ (ดีกว่าตอนที่ผมไปทริปศรีลังกาที่ต้องโหนรถเมล์แน่นๆแทบไม่มีที่ยืนขยับตัวก็ไม่ได้จากเมืองดัมบุลล่าไปเมืองแคนดี้)


พอรถออกลมพัดเย็นๆเข้ามาในรถก็พอจะทำให้พวกเราอารมณ์เย็นลงครับ ชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ผ่านเจดีย์อะไรก็ไม่รู้อยู่ลิบๆครับ 


ผ่านบ้านเรือนผู้คน ร้านค้า 


ทุ่งนาป่าเขาเสาไฟฟ้า


อะไรก็ไม่รู้ดูเอาเองนะครับ ผมถ่ายรูปเล่นเรื่อย ตลอดทางที่อยู่ในรถบัส


ผ่านด่านเก็บเงินอีกแล้วครับ รถทุกคันต้องจ่ายเพื่อผ่านทาง


ดูวิถีชีวิตชาวบ้านตามรายทาง ก็คล้ายๆกับบ้านเราครับ 


ชาวบ้านกำลังสร้างสะพานข้ามคลอง


บ้านเรือนผู้คนเริ่มห่างกัน แถวนี้น่าจะเป็นที่ทำการเพาะปลูก


บรรยากาศน่าลงไปแช่ในปลักครับ 555 


แถวนี้คงเป็นที่ทำนา


แบบนี้เหมือนๆบรรยากาศบ้านเราจริงๆครับ ดูไม่แห้งแล้งเหมือนที่พุกามหรือบะกัน


สักพักรถก็พาเราข้ามแม่น้ำสะโตงครับ ที่ครั้งหนึ่งสมเด็จพระนเรศวรทรงยิงแม่ทัพพม่าที่ชื่อสุรกรรมา แม่น้ำนี้กว้างมากครับ น่าจะสักครึ่งกิโลเลยครับ 


นั่งรถมาได้ชั่วโมงครึ่ง 10:30 น. รถว่ิ่งมาถึงจุดพักรถครับ เขาแวะให้กินข้าวประมาณ 15 นาที (แต่ขากลับที่ผมนั่งจากคินปุนเบสแคมป์ไปย่างกุ้งเขาไม่แวะให้ทานข้าวเลยนะครับ)


ตอนอยู่บนรถ เห็นร้านนี้ก็ตั้งใจมาหาข้าวกินร้านนี้ครับ ไม่ต้องไปแย่งกับคนพม่า เดี๋ยวเสียเวลากิน 


เด็กผู้ชายชาวพม่า ขายจิ้งหรีดคั่วครับ จิ้งหรีดพม่าผมขอบอกว่าตัวใหญ่มากๆครับ แต่ผมไม่กล้ากิน


น้องคนนี้ขายทอดมันกุ้งแผ่นใหญ่ๆ (แบบทอดมันกุ้งปักษ์ใต้บ้านผมครับ)


ให้ดูภายนอกรถที่เรานั่งมาครับ


เดินมาร้านที่เล็งไว้เมื่อครู่ แม่ค้าอารมณ์ดีครับ น่ารักด้วย เลือกกับข้าวมา 4-5 อย่าง (ทุกที่ที่เราไปกิน เขาจะตักมาเป็นถ้วยๆเล็กมากๆครับ ไม่เหมือนบ้านเรา ถ้าสั่งแกงมาก็ถ้วยใหญ่เลยครับ)


คนนี้ขายหมากครับ


กับข้าวเรามื้อนี้ครับ เห็นมั้ยครับว่าถ้วยเล็กจริงๆ 


พักประมาณ 15 นาทีรถก็ออกเดินทางต่อครับ ผ่านตรงนี้ เหมือนจะเป็นรีสอร์ทหรือโรงแรมด้วยครับ 


พอใกล้ถึงคินปุนเบสแคมป์ รถที่เรานั่งมา บอกให้เราลง แล้วไปต่อรถบัสอีกคันที่จอดรออยู่ครับ เป็นรถแอร์ครับ งง เหมือนกันว่าทำไมเขาให้เปลี่ยนรถ ไม่สามารถจะสื่อสารกันเข้าใจได้ แต่สันนิษฐานได้ว่าคันที่เรานั่งมาก่อนหน้าจะขับแยกไปอีกทาง ไม่ผ่านคินปุนเบสแค้มป์มั้งครับ แต่น่าจะเป็นของบริษัทเดียวกันเพราะไม่ได้เก็บตังค์เราเพิ่ม


สภาพภายในรถคันใหม่ครับ แอร์เย็นฉ่ำ ใกล้จะถึงแล้วเนี่ยนะ ถึงได้นั่งรถแอร์ เวรกรรม!


ไม่นานก็มาถึงแล้วครับ คินปุนเบสแคมป์ รวมเวลาจากพะโคะ(หงสาวดี) 3 ชั่วโมงพอดีครับถึงเที่ยงวันพอดีเลย 12:00 น. (ถ้าใครจะแวะชมสถานที่อื่นๆในหงสาวดีอีกนอกจากเจดีย์ชเวมอว์ดอว์แล้ว ขอบอกว่ายังทันครับ เพราะจากหงสาวดีไปคินปุนเบสแคมป์ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงเองครับ พวกผมไม่กล้าเที่ยวเยอะเพราะตอนแรกไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนจะถึงคินปุนเบสแคมป์ ทีนี้ได้รู้กันแล้วครับ 3 ชั่วโมง เพราะหงสาวดีมีสถานที่อื่นให้เที่ยวอีกเยอะครับ นึกดูก็เสียดายเหมือนกัน เสียอารมณ์กับพวกไกด์เถื่อนนี่แหละ)


ให้ดูรถแอร์ ที่เรานั่งมาเมื่อครู่ครับ


เดินเข้าไปในซอยนี้ไปหารถทุกหมูครับ 


ปรากฏว่าไม่ใช่ขึ้นตรงนี้ครับ ชาวบ้านชี้ให้ดูต้องเดินไปอีกซอกหนึ่งใกล้กันครับ 


ก็จะเจอโรงรถขนหมูโรงใหญ่เลยครับ


เราจะขึ้นคันนี้กันแหละครับ ชาวบ้านเขาขึ้นไปนั่งรอนานแล้ว เราไปถึงได้ขึ้นเลย เพราะเต็มคันรถพอดี โชคดีที่เราไม่ต้องไปนั่งเบีดรอนานๆ (ตรงโรงรถขนหมูนี้มีห้องน้ำด้วยนะครับ เข้าฟรี ไม่เสียตังค์ ความสะอาดให้ 6 เต็ม 10 เพราะเราจะใช้เวลาขึ้นพระธาตุอินทร์แขวนอีกเกืิบ 40 นาทีกว่าจะถึง ใครปวดฉี่ หรือฉี่บ่อยๆ ขอแนะนำก่อนเลย ก่อนที่ฉี่จะเล็ดเพราะทางขึ้นไจก์ถิโย หรือพระธาตุอินทร์แขวนน่ากลัวมากๆครับหลังจากนี้ ทั้งชัน ทั้งโค้งหักศอก ขอบอกเลยครับ 5555)  อ้อ ด้านหลังรถมีช่องเก็บสัมภาระด้วยครับ ในรูป แต่พวกผมเช่าห้องไว้เก็บกระเป๋าที่โรงแรมในย่างกุ้งแล้ว แบกกระเป๋าผ้าใบเล็กมาใบเดียวเองครับ เพื่อสะดวกในการเดินทาง


ก่อนรถออกก็มีคนขึ้นมายืนเก็บตังค์ค่าโดยสารครับคนละ 2,500 จั๊ต (83 บาท) เท่าเทียมกันหมดทั้งไทยทั้งพม่า แล้วรถก็ออกตัวจากโรงรถไต่ความสูงของภูเขาขึ้นไปเรื่อยๆครับ วกไปวนมา ทางคดเคี้ยว โค้งหักศอก บางช่วงที่มันน่ากลัวมากๆผู้โดยสารบางคนกรี๊ดกันเป็นแถว 


สุดท้ายก็มาถึงที่นี่ครับ จุดจอดรถ Ya The Taung ที่เขาจะจอดให้นักท่องเที่ยวลงเดินขึ้นเขาไปอีกสองกิโล เพ่ื่อให้ชาวบ้านแถวนั้นมีรายได้จากร้านค้าหรือเสลี่ยง พวกผมกำลังรอลุ้นว่าเขาจะให้เราลงหรือไม่ เพราะเขารู็ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว แต่สรุปว่าเขาไม่ให้เราลงตรงนี้ครับ คือเราได้ไปต่อ 5555 โล่งอก คิดว่าจะต้องเดินขึ้นเขาอีก 2 กิโลซะแล้วครับ โชคดีจริงๆที่มากับคนพม่าทั้งคันแบบนี้


ตอนรถจอดมีหนุ่มพม่าคนนี้มาขอเรี่ยไรเงินทำอะไรก็ไม่รู้ครับ ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะพี่แกพูดพม่าล้วนๆ ไม่มีอังกฤษเจือปน เลยไม่ได้ควักให้ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ มันล้วงยากครับ นั่งเบียดกันขนาดนี้ 


ถ่ายรูปมาด้านหลัง สะดุดตากับป้ายบอกทางไปห้องน้ำเป็นภาษาไทยครับ


จากจุดจอดรถ Ya The Tuang เขามาผู้โดยสารไต่เขาขึ้นมาอีกเกือบ 10 นาทีก็ถึงลานจอดครับ เฮ้อ ปลอดภัยดีกันทุกคน ลุ้นกันแทบแย่กว่าจะถึง 


วิวภูเขาตรงลานจอดรถครับ พวกเราขึ้นมาสูงมากๆเลยครับ


หลังจากนี้ก็เดินไปตามชาวพม่าไปเรื่อยๆครับ 


บรรดาลูกหาบจะเดินเข้ามาถามว่าเราจะใช้บริการแบกสัมภาระจากพวกเขาหรือไม่ 


มีเสลี่ยงด้วยครับ ใครขี้เกียจเดิน 


เดินตามหลังชาวบ้านไปเรื่อยๆครับ 


มีร้านขายข้าวตามทางหลายร้านเลยครับ


กำลังคิดว่าจะแวะมากินตอนค่ำ


ร้านขายเสื้อผ้าก็เยอะมากๆครับ 


ของที่ระลึกอย่างอื่นก็เพียบ




เดินต่อไปอีกเรื่อยๆเลยครับ 


ผ่านโรงแรม Mountain Top Hotel  ซึ่งหลังจากเดินผ่านโรงแรมนี้ไปจะเป็นจุดตรวจที่นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าเข้าไจก์ถิโย 6$ ครับ  แต่ตอนที่เราไปเราก็เดินผ่านไปกับคนพม่าเลย เพราะเขาไม่เก็บตังค์คนพม่า และอีกอย่างเราไม่ทันสังเกตด้วยครับว่าที่นี่คือด่านเก็บตังค์เลยรอดตัวไป (อันนี้ไม่ได้ตั้งใจโกงนะครับ คือไม่เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่มาคอยเก็บค่าเข้าด้วยครับตอนนั้น เพราะเดินเกาะกลุ่มไปกับคนพม่า เพิ่งมาเห็นตอนขากลับแล้ว ไม่ได้จ่ายค่าเข้า แต่ก็ทำบุญให้พระธาตุอินทร์แขวนแล้วนะครับ)


เดินไปอีกหน่อยก็ถึงโรงแรมไจก์โถ ครับ (Kyaik Hto Hotel)  เราจองไว้แลวกับอโกด้า ซึ่งต้องขอบอกว่าในทริปพม่าของพวกเรานั้น โรงแรมนี้จะแพงที่สุดแล้วครับ คืนละ 4,000 กว่าบาท ทั้งๆที่เป็นห้องธรรมดา แต่ก็ต้องยอมเพราะอยู่ใกล้พระธาตุอินทร์แขวนที่สุดที่สามารถเดินไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวนได้สามรอบตามความเชื่อครับ  โรงแรมนี้ควรจองแต่เนิ่นๆนะครับถ้าจะมาพักชมพระธาตุอิมทร์แขวน เพราะจะมีกรุ๊ปทัวร์คนไทยมาลงทุกวันเยอะมากๆครับ เต็มตลอดเลย


วิวจากระเบียงหลังห้องนอนเราที่โรงแรมไจ๊ก์โถครับ หมอกเริ่มลงครับ บรรยากาศเย็นสบายดีมากๆครับ


วิวตรงระเบียงด้านหลังห้องพวกเราที่โรงแรมไจก์โถครับ 


วิวอีกฝั่งครับ หมอกเริ่มคืบคลานเข้ามาแล้ว 


บรรยากาศดีจนลุงเสริมต้องตะลึง ในรูปจะเห็นพระธาตุอินทร์แขวนอยู่ลิบๆครับ เห็นมั้ยครับ


อาบน้ำสักนิดเพราะเดินทางมาทั้งวันตัวเหนียว แล้วก็เดินขึ้นชมพระธาตุอินทร์แขวนกันนะครับ เจอฉิ่ตีด้านหน้าสองตัวสูงใหญ่เลยครับ มีที่รับฝากรองเท้าตรงนี้ด้วยครับ คู่ละ 500 จั๊ต (16 บาท) เพราะหลังจากนี้ต้องถอดรองเม้าแล้วครับ แต่ผมถือหิ้วไปไม่ฝากครับ 


ป้ายตรงทางเข้าพระธาตุอินทร์แขวนอีกรูปครับ อ้าว ติดหัวลุงเสริมมาซะงั้น 


ผ่านโยโยเลย์เกสท์เฮ้าส์ครับ ที่นี่เน้นรับแต่คนพม่าครับ อยู่ใกล้พระธาตุอิทร์แขวนที่สุดแล้วครับ 


อาคารอะไรก็ไม่รู้ครับ เห็นปิดอยู่ เข้าไปชมไม่ได้


ลานกว้างก่อนถึงพระธาตุอินทร์แขวนครับ


แม่ค้าขายมะม่วง ขอบอกว่าเปรี้ยวมากกกกกกกกกกกกก...........เปรี้ยวแบบอินฟินิตี้ (∞) 555555


ลานใหญ่ก่อนถึงพระธาตุอินทร์แขวนครับ


จุดจำหน่ายเครื่องสักการะและรูปที่ระลึกครับ ผมซื้อมาฝากเพื่อนหลายใบเลยครับ เป็นภาพพระธาตุอิทร์แขวนแบบสามมิติทำจากพลาสติกครับ ราคาใบละ 1,500 จั๊ต (50 บาทครับ)


ถึงแล้วครับ พระธาตุอินทร์แขวนยามบ่าย สักการะครั้งที่ 1 ผมไปซื้อทองมาปิดตรงหินที่ฐานพระธาตุครับ


ปิดทองพระธาตุอินทร์แขวนครับ


สุภาพสตรีนั่งไหว้ได้แค่ตรงนี้ครับ


ซุ้มรับบริจาคซื้อสปอร์ตไลท์ด้วยครับ


ระฆังตรงจุดชมวิวครับ


รูปปั้นเทพผู้ดูแลพระธาตุอินทร์แขวน


เดินย้อนกลับทางเดิมครับ 


เจอแม่ค้าขายข้าวต้มมัดห่อใหญ่ตรงทางเข้า ห่อใหญ่มาก ผมลองซื้อมากินดู กล้วยข้างในสีแดงหวานอมเปรี้ยวอร่อยมากๆครับ ข้าวเหนียวก็หอมอร่อย  แนะนำให้ลองซื้อไปกินเลยนะครับ แม่ค้าคนนี้ขายอยู่ตรงป้ายทางเข้าที่ฝากรองเท้าที่ฉิ่นตีสองตัวนั้นแหละครับ ผมจำราคาไม่ได้แล้วว่าขายยังไง รู้สึกจะคู่ละ 1000 จั๊ตครับ (33 บาท) ไม่แพงเลยครับ กินอิ่มด้วย แล้วก็กลับมานอนพักผ่อนที่ห้องที่โรงแรมไจก์โถครับ


ประมาณบ่าย 4 โมงเย็น(ตามเวลาท้องถิ่นพม่าซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศไทย 30 นาที) ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลิมตาเลยครับ เรานอนหลับในห้องสบายมากๆ อากาศเย็นสบายจริงๆ ประมาณ 5 โมงครึ่งฝนก็หยุดตกครับ แต่หมอกลงจัดหนามากๆ คราวนี้ผมจะไปสักการะเจดีย์พระธาตุอินทร์แขวนรอบที่ 2 ครับ รอบนี้กะว่าจะไม่ใส่รองเท้าไปแล้วเพราะขี้เกียจหิ้ว พอลองเดินออกไปจากโรงแรมแบบเท้าเปล่าสักพักรู้สึกว่าไม่ไหวครับ กรวดเม็ดเล็กๆ มันตำเท้าเจ็บมากครับ ต้องเดินกลับมาใส่รองเท้าใหม่ที่ห้อง 555


แม่ค้าขายข้าวต้มมัดคงขายของหมดแล้ว แล้วกลับบ้านไปแล้ว ไม่มีใครเลย ตรงทางเข้า


พอผมเดินเข้าไปข้างใน น้องฝนก็กระหน่ำลงมาอีกทีละนิดจากเม็ดเล็กๆปรอยๆกลายเป็นเม็ดใหญ่เทกระหน่ำลงมาอีกระลอก ต้องวิ่งหาที่หลบฝนอย่างเร่งดวน


พอฝนหยุดก็เดินไปสักการะพระธาตุอีกรอบท่ามกลางสายหมอกครับ 


ลองเปลี่ยนกล้องเป็น Night Mode ครับ 


อีกรูปครับ


อีกรูป ได้แค่นี้แหละกล้องผม 5555 


สักการะรอบสองเสร็จก็ผ่านมาเจอร้านข้าวก่อนถึงโรงแรม


สั่งข้าวผัดหมูมากินคนละจานกับลุงเสริม + น้ำ 1 ขวด รวม 4500 จั๊ต ครับ (150 บาท) ดินเนอร์เราคืนนี้ครับ แค่นี้จริงๆ 5555 ไม่มีอะไรจะกินดีกว่านี้แล้ว (แต่อร่อยนะครับ ฝนตกๆ กินข้าวผัดแบบนี้ คอนเฟิร์ม)

3 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีครับ ขออนุญาตเรียนถามว่า จองตั๋วรถไฟ ยังไงครับ หรือต้องเลือกแบบไหน ถึงจะได้ที่นั่งแบบในภาพครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตอนไปจองก็จองแต่เช้าเลยครับ รถไฟไปพะโคะ(หงสาวดี) มีตอน 6 โมงเช้าครับ มีสองชั้นให้เลือกคือ ธรรมดา กับ Extraordinary ครับ เวลาซื้อตั๋วก็แยกแถวกันคนละมุมกันเลยครับ แต่ต้องไปแต่เช้าๆนะครับ เพื่อให้ได้ตั๋วเร็วๆก่อนรถไฟออก เพราะพี่หม่องไม่เข้าแถวกันเลยครับ จะแซงลูกเดียว ไม่รู้จักคำว่าเข้าแถวครับ แย่งได้แย่งเอาเลย เวลาซื้อตั๋ว กี่คนก็ต้องเอาพาสปอร์ตของทุกคนไปโชว์ด้วยนะครับ

      ลบ
    2. ขอแก้นิดหนึ่งครับ Upper Class ครับ ไม่ใช่ Extraordinary ผมกำลังมึนก่อนหน้านี้ 5555

      ลบ