รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง

รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง
มัณฑะเลย์ โมนยวา พุกาม ทะเลสาบอินเล ย่างกุ้ง สิเรียม หงสาวดี พระธาตุอินทร์แขวน

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วันที่ 2 พิธีล้างพระพักต์พระมหามัยมุนี เที่ยวสะพานอูเบ็ง เจดีย์มิงกุน สกายฮิล นั่งรถตู้ไปเมืองโมนยวา

วันพฤหัสบดี ที่ 15 พฤษภาคม 2557 (2014) วันนี้เป็นวันที่ 2 ของการเดินทางของทริปนี้ครับ แผนการคร่าวๆของวันนี้คือชมพิธีล้างพระพักต์พระมหามัยมุนีตอนตี 4 แล้วก็ไปซื้อตั๋วรถไปเมือฃโมนยวา เก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวที่เหลือ เช่น สะพานอูเบ็งที่อมระปุระ เจดีย์มิงกุน(ไปกับรถนะครับ ไม่ได้ไปทางเรือ) สกายฮิล เมืองอังวะ(อินวะ) ขอบอกว่าเราพลาดไป 1 อย่างในวันนี้ทำให้ไปชมอินวะไม่ทันครับ เพราะเวลามันจิมจวน ไม่ทันรถไปโมนยวาตอนบ่าย เลยไม่มีรูปอินวะมาฝากครับ ที่พลาดเพราะเราเห็นแก่อาหารเช้าที่จะมีให้ตอน 8 โมง ที่จริงไปหากินเอาข้างหน้าก็ได้ครับ เพราะเขามีแต่ไข่ดาวกับขนมปังให้ ยังไงก็ไม่อิ่มอยู่ดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรอหาหารเช้าครับ ไปเที่ยวเลย หิวแล้วค่อยหากินเอาข้างหน้าดีกว่าครับ 


ก่อนอื่นก็ขอเชิญชมคลิปแนะนำการเดินทางของวันนี้กันก่อนนะครับ น้องออดี้เขาทำคลิปเอาไว้ครับ 


วันนี้ตื่นกันแต่ตี 3 เลยครับอาบน้ำ แต่งตัว นัดพี่ป๊อบให้มารับตี 3 ครึ่ง ลงมาข้างล่างพี่ป๊อบรออยู่แล้วครับ ตรงเวลามากๆครับ (เมื่อวานจ่ายค่าทัวร์ไปครึ่งหนึ่งกอนครับ 60 US Dollars แต่วันนี้จะจ่ายให้พี่แกอีก 60 Us dollars ครับ) พี่ป๊อบพาออกมาจากโรงแรมประมาณ 10 นาทีก็ถึงวัดพระมหามัยมุนีครับ เดินเข้าไปข้างใน (ถอดรองเท้าไว้ในรถเลยครับ) บรรดาร้านขายของตลอดทางเดินยังไม่เปิดครับ 


เดินเข้าไปเรื่อยๆก็มาถึงห้องที่ประดิษฐานพระมหามัยมุนีครับ ห้องยังปิดเอาไว้ เรามาเร็วใช้ได้ครับ ไม่ต้องไปแย่งที่นั่งใคร มีชาวบ้านมานั่งรอชมพิธีอยู่บ้างแล้วครับ ผู้หญิงเขาให้นั่งบริเวณข้างหลังตรงนี้ครับ ผู้ชายเข้าไปได้อีกครับ นั่งด้านหน้าเลย 


แอบหันไปมองป้าส้ม ถูกกักบริเวณให้อยู่ด้านหลัง น่าสงสาร อิๆๆๆ แต่สุภาพบุรุษได้มานั่งด้านหน้าขึ้นมาอีกครับ 


มีพระพม่ามานั่งรอด้วยครับ คาดว่าน่าจะมาจากที่อื่นมาชมพิธีเหมือนกันครับ 


หนุ่มๆเขานั่งแถวด้านนห้าครับ ที่จริงผู้หญิงมานั่งข้างหลังพวกเราตรงที่เหล็กกั้นตรงนี้ก็ได้ครับ เลยเรียกป้าส้มมานั่งด้านหลังพวกเราครับ 


ประมาณตี 4 ก็มีเจ้าหน้าที่ของวัดแต่งชุดสีขาวมาเปิดประตูครับ ทุกคนเข้ารอชมความงามขององค์พระอย่างใจจดใจจ่อและตื่นเต้นมากๆครับ 


วินาทีแรกที่เห็นองค์พระ ผมถึงกับตะลึงในความงดงามครับ องค์พระเป็นทองสีเหลืองอร่ามสวยงามจับใจ เราได้เจอกับ 1 ใน 5 ของสิ่งที่เป็นที่เคารพบูชาสูงสุดของชาวพม่าแล้วครับ ภาพที่ผมถ่ายมาให้ดูนี้อาจจะดูธรรมดาครับ ต้องมาเห็นของจริงแล้วจะขนลุกในความงดงามครับ  เจ้าหน้าที่วัดจัดการตระเตรียมของบูชาเริ่มพิธีล้างพระพักต์


เจ้าอาวาสเริ่มพิธีครับ


ได้ยินเสียงดนตรีประโคมดังผสมกับเสียงชาวบ้านสวดมนต์ตลอดเวลาครับ ดูเป็นพิธีการที่ศักดิ์สิทธิ์มากๆ ครับ 


พิธีล้างพระพักต์ครับ เสร็จแล้วก็เช็ดๆๆๆ 


มีผ้าที่ชาวบ้านเอามาทำบุญกี่ผืนๆ ท่านก็เอามาเช็ดหมดครับ หลังจากนั้นขาวบ้านจะเอาผ้าเหล่านี้ไปบูชาที่บ้านครับ 


ประมาณตี 5 พิธีก็เสร็จครับ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ เสร็จแล้วก็เปิดโอกาสให้ชาวบ้านขึ้นไปปิดทององค์พระมหามัยมุนีได้ครับ 


พระปิดทองเสร็จแล้ว ชาวบ้านอย่างเราๆก็ขึ้นไปปิดทองนะครับ 


สามารถซื้อทองได้จากซุ้มตรงนี้ครับ อยู่ด้านหลังที่เรานั่งนี่เองครับ เอาทองไปจากประเทศไทยไปปิดไม่ได้ครับ คนละเนื้อกันเขาไม่ให้ปิด ทองราคา 1500 จั๊ด (ประมาณ 50 บาท) ใน 1 แผงมีทองคำเปลวอยู่ 5 แผ่นบางๆข้างในครับ ส่วนดอกไม้ขาวๆที่ชาวบ้านในรูปถืออยู่นั้น เราก็สามารถซื้อเอามาวางถวายพระมหามัยมุนีได้เช่นกันครับ มีที่วางอยู่ด้านหน้าประตูที่ประดิษฐานองค์พระ 


เสร็จพิธีแล้วก็เดินออกมาครับ ร้านค้าต่างๆทะยอยเปิดกันเต็มพรืดหมดแล้วครับ แต่ต้องรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่จะมีบรรดาเณรน้อยทั้งหลายอุ้มบาตรมาขอตังค์ จนเสียสมาธิการเลืกชมซื้อของครับ ถ้าจะให้ก็ให้ได้ครับ แต่เยอะมากๆครับ คงให้ทุกรูปไม่ได้ เลยต้องฝ่าวงล้อมออกมาก่อนที่รถ 


ขนมบ้านๆดูน่าลองรับประทานดูครับ แต่พอดูใกล้ๆเห็นแมลงวันตอมเยอะเลยไม่เอาดีกว่า กลัวท้องเสียครับ (ที่เห็นในรูปใส่ชุดสีชมพูนี้คือแม่ชีนะครับ แม่ชีพม่าจะใส่ชุดสีแบบนี้ครับ)


ด้านหน้า ทางเข้าวัดครับ มีร้านประมาณว่าขายเครื่องดื่มร้อนๆตอนเช้า ไม่ได้ดูว่ามีอะไรขายบ้าง


พี่ป๊อบรออยู่ที่รถแล้วครับ (คนที่ใส่เสื้อกล้าม โลงจีสีน้ำเงินในรูป) แกก็พาเรากลับโรงแรม นัดพวกเราอีกที 8.30 น. ให้เรากินข้าวเช้าก่อน โดยที่โรงแรม Fortune Hotel ที่เราพักอยู่จะให้รับประทานอาหารเช้าได้ตอน 8.00 น. แต่อาหารเช้ามีแต่ไข่ดาวให้ ชา กาแฟ ผลไม้ แค่นี้เองครับ ถ้ารู้อย่างนี้คงไม่อยู่รอครับ เพราะว่าเสียเวลาเที่ยวครับ (ทำให้เราพลาดไปเที่ยวอินวะไม่ทัน)


ประมาณ 8.30 น. พวกเราก็เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม Fortune Hotel เสร็จเรียบร้อยพร้อมเดินทาง พี่ป๊อบพาพวกเรามาซื้อตั๋วที่ขนส่งก่อนครับ 


สภาพโดยทั่วไปของสถานีขนส่งเมืองมัณฑะเลย์ครับ (Thiri Mandalay Bus Terminal) ชื่อว่า สถานีขนส่งทีรีมันดาลา 


พี่ป๊อบจอดให้เราลงซื้อตั๋วครับ


สถาพโดยรวมของสถานีขนส่งเมืองมัณฑะเลย์อีกรูปครับ 


ออฟฟิซที่ขายตั๋วไปโมนยวาคือคูหาที่มีป้ายสีส้มในรูปนี้ครับ



เอาถ่ายด้านหน้าชัดๆ ออฟฟิซนี้แหละครับ พี่ป๊อบไปช่วยคุยด้วย เลือกเอาเวลาเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากขนส่งมัณฑะเลย์คือเวลา 16.30 น. ระบุในตั๋วเรียบร้อยครับ แต่พี่ป๊อบบอกที่ซื้อตั๋วให้แล้วว่าพวกเราจะไปดักรอขึ้นแถวเมืองสะกาย เพราะไม่ต้องย้อนกลับเข้ามาในมัณฑะเลย์อีกเพราะมันเป็นทางผ่านไปโมนยวาครับ ค่ารถ (เป็นรถตู้นะครับ ตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นรถบัส) 3,500 จั๊ตต่อคน (ประมาณ 116 บาท) 


พี่ป๊อบชี้ให้เราดูรถตู้คันที่จะพาเราไปโมนยวา คือคันนี้ครับ เลยถ่ายรูปเอาไว้ก่อน 


ที่จริงรถบัสก็มีนะครับ แต่ไปไหนบ้างก็ไม่รู้ มีแต่ภาษาพม่า อ่านไม่ออกเลยครับ แต่เท่าที่อ่านมาที่สถานีขนส่ง Thiri Mandala แห่งนี้จะมีรถที่จะไป โมนยวา กับ ชเวโบ ครับ


ตั๋วหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ คนละ 3,500 จั๊ต ใส่ราคารวมมา 17,500 จั๊ตครับ  รถออก 4:30 p.m. จากสถานีขนส่งมัณฑะเลย์ มีระบุหมายเลขที่นั่งในรถตู้ไว้ตั๋วด้วยครับ ไม่ธรรมดานะเนี่ย 
Mandalay - Monywa van Ticket at 4:30 p.m. departure time from Thiri Mandala Bus Station in Mandalay


ซื้อตั๋วเสร็จพี่ป๊อบพาเราออกทัวร์เลยครับ แต่พี่แกเล่นเปลี่ยนคนขับเฉยเลย ไม่บอกเราแต่แรก แกขับรถเวียนมาทางแถวบ้านแแล้วให้หลานแกขบ หลานแกชื่อเขาทรายครับ คนไทยใช้บริการบ่อย เพราะหน้าแกเหมือนเขาทราย แถมรู้จักเขาทรายซะด้วยว่าเป็นนักมวย แล้วเขาทรายก็พาเราเที่ยวต่อครับ จุดหมายแรกคือสะพานอูเบ็งครับ ที่นี่คืออดีตราชธานีอมรปุระครับ 


สะพานอูเบ็ง (U Bein Bridge) เป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลกครับ สร้างขึ้นในปี คศ. 1851 (พ.ศ. 2394) ในสมัยพระเจ้าโบดอพญา ชื่ออูเบ็งนี้เป็นชื่อของขุนนางผู้ควบคุมงานก่อสร้างสะพาน โดยสร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าเมืองอังวะ และอาคารเก่าของเมืองสะกาย ทอดยาวข้ามทะเลสาบตองตะมาน (Taungthaman) ไปยังวัดเจ๊าต่อจี (Kyauktawgyi) ระยะทางยาว 1.2 กิโลเมตร ผมมากลางวัน ไม่ได้ภาพ Sunset ครับ 5555

ทางขึ้นสะพานครับ


มีแผงขายสินค้าที่ระลึกเป็นระยะๆครับ


มีไอศกรีมขายด้วยครับ สีสันของโคนน่ากินเชียวครับ แต่ผมไม่ได้ลองชิม ป้าส้มบอกว่าอร่อยดีครับ 


แอบถ่ายพ่อค้าไอศกรีมครับ 


เจอขบวนแม่ชี้น้อยๆด้วยครับ 


วิวทะเลสาบตองตะมานครับ 


ชาวบ้านหาปลาในทะเลสาบตองตะมานครับ 


ล่างสะพานช่วงนี้มีร้านขายอาหารด้วยครับ


ให้เห็นว่าช่วงกลางของสะพานยังเป็นพื้นดินนะครับ แล้วก็ผ่านทะเลสาบต่ออีหครั้งแต่เราเดินไม่สุดครับ ขี้เกียจเดิน ลมพัดดีครับแต่อากาศก็ร้อนอยู่ดี เดือนพฤษภาคม 


ฝูงเป็ดพม่าในทะเลสาบตองตะมานครับ


เดินไม่สุดทางเราก็เดินกลับครับ เพราะกลัวเที่ยวที่อื่นไม่ทัน (ที่จริงก็ไม่ทันครับ 555 ขาดราชธานีเก่าอินวะที่ไปไม่ทัน ต้องข้ามเรือไปเที่ยวด้วย) ตามทางเดินก็มีสินค้าแฮนด์เมด พวกกระเป๋าที่ทำมาจากเมล็ดแตงโมครับ ช่างมีความอดทนในการร้อยให้เป็นกระเป๋าเสียจริงๆครับ แต่ดูแลวท่าทางจะไม่ทนเท่าไหร่ ถ้าซื้อก็คงเอาไปเก็บเฉยๆเป็นที่ระลึก เพราะถ้าเอาไปใช้งานจริงผมว่าคงขาดตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ 


บนบกก็มีงานไม้แกะสลักขายครับ 


สักพักเขาทรายก็พาเรามาเที่ยวโรงงานผลิตโลงจีครับ (พามาเชือดเอาค่าคอมมิชชั่น 555) แต่ก็ไม่ว่ากันครับ ไหนๆก็มาแล้ว 


คนงานที่เครื่องปั่นด้ายครับ หรือเครื่องอะไรผมไม่แน่ใจ แต่ผมว่ามันน่าดูมากครับ ช่างคิดช่างทำจริงๆ  


ช่างทอผ้าถุงโลงจีครับ มีทั้งหญิงชาย สาว แก่ 


ร้านค้าโลงจี ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงงานครับ (เขาทรายยืนเท่ห์อยู่หน้าร้านครับ ยังเห็นหน้าไม่ชัดรูปนี้ เดี๋ยวจะเจออีกในรูปหลังๆครับ)


ภายในร้านครับ โลงจีสวยๆทั้งนั้น 


อิๆ ยอมให้ฟันไป 35 US สองผืนกับลุงเสริมคนละผืน โดนไปพันกว่าบาม (ลุงเสริมซื้อฝากเมียที่บ้าน คือแม่ผมเอง 555) ค่อนข้างแพง แต่ผมว่าสวยดีนะ เข้ากับหน้าตานายแบบอย่างบอกไม่ถูก แต่มิอาจให้ท่านเห็นหน้านายแบบได้ ถือว่าให้กำลังใจไกด์เขาทรายหน่อยที่จะพาเราไปเที่ยวอย่างสนุกสนานทีหลัง  ถ้าไม่ซื้ออะไรเลย เดี๋ยวไกด์ไม่แฮปปี้ครับ ช่วยซื้อซะหน่อย (เข้าใจหัวอกคนเป็นไกด์ด้วยกันครับ) 


สถานที่ต่อไปเขาทรายพาพวกเราไปเจดีย์มิงกุนครับ โดยทั่วไปแล้ว เท่าที่ผมอ่านหนังสือทุกเล่มจะพาไปชมมิงกุนทางเรือครับ นั่งจากมัณฑะเลย์ ล่องแม่น้ำขึ้นไป ตอนแรกพวกผมจะไปแบบนี้แหละครับ แต่เสียเวลารอเรือ เลยไปทางรถดีกว่า ไกลใช้ได้เลยครับ ผ่านไปมทางถนนเลียบแม่น้ำอิระวดีขึ้นไปเรื่อยๆ 


แม่น้ำอยู่ด้านขวามือในรูปนะครับ เลียบแม่น้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ 


มีด่านดักให้ทำบุญด้วยครับ หรือขอเงินทำถนนอะไรสักอย่าง 


ในที่สุดก็ถึงเจดีย์มิงกุนแล้วครับ มันใหญ่มากจนกล้องผมถ่ายไม่ครอบคลุมทั้งเจดีย์อีกแล้ว 555

เจดีย์มิงกุน สร้างในสมัยพระเจ้าปะดุงแห่งราชวงศ์อลองพญาผู้มีชื่อเสียงจากสงครามเก้าทัพที่ตีไทยและเป็นผู้ตีเมืองยะไข่ ไปเอาพระมหามัยมุนีมาไว้ทีมัณฑะเลย์ในปัจจุบัน พระเจ้าปะดุงมีโครงการจะให้เจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด โดยให้สามารถมองเห็นแม้มองจากฝั่งอังวะ ที่ตรงข้ามแม่น้ำอิระวดี แต่ในระหว่างก่อสร้างปี 1838 (พ.ศ.2381) ก็เกิดแผ่นดินไหว องค์เจดีย์จึงเกิดรอยร้าวปริแยกไม่สามารถสร้างต่อได้ จึงเหลือฐานเจดีย์ขนาดใหญ่มหึมา ฐานเจดีย์สูง 152 เมตร ฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตรัสยาวด้านละ 150 เมตร 


เข้าไปข้างในเจดีย์มีพระพุทธรูปแบบนี้อยู่ครับ 


ที่เจดีย์มิงกุนแห่งนี้ สิ่งที่ผมรำคาญที่สุดคือพวกเด็กๆพวกนี้ครับ มารุมเราตั้งแต่ยังไม่เปิดประตูลงจากรถ มาขายธูปขายดอกไม้ ตามตื้อ เดินตามเราไปทุกแห่ง น่ารำคาญและน่าเบื่อมากๆ เราแกล้งมานั่งในร้านอาหารสั่งข้าวกินก็ยังมารุมล้อมแบบไร้มารยาทที่สุด ผมไม่ชอบจริงๆเลยที่นี่ เด็กตื้อไม่เลิก พ่อแม่ไม่สั่งสอน หรือสั่งสอนก็ไม่รู้แต่สอนให้ตื้อนักท่องเที่ยวแบบเอาเป็นเอาตายแบบนี้  สั่งข้าวผัดไก่ไข่ดาวกินกัน เลี้ยงพี่เขาทรายด้วย 1 จาน รวม 6 จาน จ่ายไป 12,600 จั๊ต (ประมาณ 420 บาท) 


กินข้าวเสร็จก็เดินไปหอระฆังมิงกุนครับ เด็กเวรก็ตามพวกเรามาอีก  ตามมาจะขายของให้ได้ ขายไม่ได้ก็ไม่ถอย ตามตื้ออยู่นั่น จนต้องยอมให้มันเดินตามตลอดทุกที่ทุกเวลา 


ระฆังมิงกุนครับ ใหญ่มากๆ เป็นระฆังสัำริด สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าปะดุง ปีค.ศ. 1808 (พ.ศ.2351) มีความสูง 4 เมตร น้ำหนัก 90 ตัน ความกว้างปากระฆัง 5 เมตร เป็นระฆังขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ใช้งานได้ (เมื่อก่อนระฆังเครมลินรัสเซียใหญ่สุดแต่พังไปแล้ว)


ที่จริงถ้าเดินต่อไปอีหน่อยจะเจอเจดีย์ เมียะเต็งดาน (Myatheindan Paya) แต่รำคาญเด็กๆตามเลยเดินกลับรถเลย ผ่านร้านค้าเสื้อผ้าแบบนี้สี่ห้าร้านครับ 


ดูเด็กๆ มันเดินตามเรา ประมาณ 7-8 คนได้ครับ คิดดูว่ามันน่ารำคาญขนาดไหน ผมซีเรียสมากเลยตรงนี้ เสียอารมณ์เที่ยวหมดเลย 


ก่อนถึงรถก็ขอถ่ายเจดีย์อีกรูป ด้านข้างพังหมดแล้วครับ น่าเสียดายจริงๆ


มันมีทางขึ้นด้วยครับ พร้อมป้ายเตือนอัตราย ถ้าขึ้นไปไม่มีใครกล้าขึ้นครับ กลัวพัง 


ที่ต่อมาคือสะกายฮิลครับ เขาทราบพาเรามาด้านที่ชาวบ้านเขาเดินขึ้นบันไดกันครับ (ขอบอกว่าน่าตบกะโหลกมันมาก ที่ไม่พาเราขึ้นไปทางรถวิ่ง ที่จริงประหยัดเวลาเราไปตั้งเยอะ ใครมาเที่ยวสะกายฮิลล์ต้องขอบอกก่อนไว้เลยครับ ว่าให้คนขับพาขึ้นทางรถนะครับ เราไม่รู้ตอนแรกนึกว่าเดินขึ้นได้อย่างเดียว น่าโมโหในความซื่อบื้อของมัน 


จากทางเข้าเมื่อครู่ เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆจะเจอบันไดทางขึ้นสะกายฮิลล์ดังรูปครับ ท้าทายหัวเข่าและกล้ามเนื้อขาอีกแล้วครับ 5555


ขึ้นมากว่าจะถึงยอดเล่นเอาเหงื่อแตกเหงื่อแตนไปพอสมควร แต่วิวสวย ลมเย็น อากาศดีมากๆครับ 


มีวัดหรือเจดีย์อะไรก็ไม่รู้อยู่เบื้องล่าง ฉากหลังเป็นแม่น้ำอิระวดีอยู่ลิบๆครับ 


บนสะกายฮิลล์ก็มีพระพุทธรูปอยู่ทั้ง 4 ด้านครับ 


เจดีย์บนสกายฮิลล์ครับ


พระพุทธรูปอีกด้านหนึ่งครับ


วิววัดอะไรก็ไม่รู้ครับ สวยๆอยู่เบื้องล่าง


เดินจากทางขึ้นที่เป็นบันได ออกมาอีกด้านที่อยู่ตรงข้าม ก็เจอทางเข้าที่เป็นทางรถวิ่งขึ้นครับ รู้ทีหลังแล้วมันปรี๊ดจริงๆ อยากจะไปเขกกะโหลกตาเขาทรายจริงๆ แทนที่จะขับขึ้นมาส่งทางนี้ ให้เราเดินขึ้น เสียเวลาอยู่ได้ 


เดินลงกลับไปทางบันได้เหมือนเดิม เห็นตาเขาทรายนั่งคุยกับชาวบ้านสบายใจเฉิบ ยิ่งคิดยิ่งแค้น ก็เลยบอกให้พาไปอีกที่หนึ่งไปขึ้นเขาสะกายฮิลล์แต่เป็นอีวัดหนึ่งชื่อว่า อู มิน ทอนเซ่ (U Min Thonze) ซึ่งต้องขึ้นไปกับรถ แต่มีทางแยกด้านบนว่าจะไปวัดนี้หรือไปสกายฮิลล์ 


เขาทรายยอมพาไปแต่โดยดีครับ ด้านหน้า ทางเข้า


พระพุทธรูปเรียงกันเป็นแถวสวยงามครับ 


ที่ผมดูในรูปที่เขาถ่ายๆกันมาแรกๆผมนึกว่าพระพุทธรูปจะยาวสุดลูกหูลูกตาซะอีก ที่ไหนได้ มีแค่นี้เองครับ แต่ผมว่าสวยนะ ใครๆก็มาถ่ายรูปพระพุทธรูปกันที่วัดนี้ครับ 


เจอหนุ่มพม่าหน้าตาดี เลยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึก 1 รูปครับ 


ประมาณ 4 โมงครึ่ง เขาทรายพาเรามาที่รอที่วัดที่รถตู้ที่เราซื้อตั๋วเมื่อเช้าจะผ่านมาทางนี้ครับ ที่จริงเหลืออินวะอีกที่แต่กลัวไม่ทัน เลยมารอซะก่อนดีกว่า พวกเราบอกเขาทรายให้รอจนกว่ารถจะมา เพราะเราติดต่อใครไม่ได้ถ้าหากเขาไปแล้ว กลัวตกรถ แล้วก็จ่ายค่าทัวร์ที่ค้างอยู่อีก  60 US พร้อมทิปอีก 8,000 จั๊ต แถมหลวงพ่อฤๅษีลิงดำไปให้ด้วยอีก 1 เหรียญ (ก่อนมาพม่าเที่ยวนี้ผมพาลุงเสริมไปวัดท่าซุง ไปบูชาเหรียญหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมาครับ)


โฉมหน้าเขาทรายแบบชัดๆครับ  ที่วัดที่รอนี้ มีห้องน้ำบริการเป็นบ้านของชาวบ้านด้วย แต่ขอบอกว่าห้องน้ำเน่ามาก แต่ก็ต้องจ่าย 100 จั๊ต เป็นค่าเข้าห้องน้ำด้วยครับ กลิ่นเหม็นจะเป็นลม ปกติผมไม่ค่อยเท่าไหร่นะ เรื่องห้องน้ำเหม็น แต่ที่นี่เน่าสุดจะทน 5555 แต่ก็ต้องฉี่ เดี๋ยวปวดฉี่ในรถจะลำบาก


ตรงข้ามวัดที่เรารอรถอยู่ มีร้านขายของชำอยู่ด้วย เลยไปซื้อขนมมาตุนไว้ เผื่อหิวในรถครับ 


รอจนห้าโมงกว่าแล้ว รถก็ยังไม่มาซะที ผมเลยบอกให้เขาทรายโทรหาบริษัทรถให้หน่อย กลัวรอผิดที่ ปรากฎว่ารอผิดที่จริงๆด้วยครับ ต้องรีบขึ้นรถ แล้วให้เขาทรายพาไปอีกที่ ไม่ไกลจากที่รอเดิมมากนัก เป็นอีกแยกตรงแถวๆสะพานข้ามแม่น้ำ ตาเขาทรายเกือบทำเราตกรถ ดีที่ผมฉลาดบังคับให้มันโทรให้ มิฉะนั้นแผนการเดินทางของเราพลาดหมดแน่ๆ แต่ก็ได้ขึ้นรถตู้ทันเวลาพอดีครับ รถตู้มารอพวกเราอยู่พักหนึ่งแล้ว 


รถพาเราข้ามสะพานแห่งนี้ครับ มุ่งหน้าสู่เมืองโมนยวา รัฐสะกาย ครับ 


ตลอดระยะทางไปโมนยวา แทบไม่มีบ้านคตามถนนเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นป่ากับทุ่งนา ผ่านหมู่บ้านเล็กๆหลายๆหมู่บ้าน 



รถตู้วิ่งมาได้ 2 ชั่วโมงก็จอดแวะให้เรากินข้าว หรือเข้าห้องน้ำครับ หน้าตารถตู้ที่เรานั่งมาครับ 


ร้านขนม ของฝาก ที่จุดพักรถครับ


กล้วยพม่าครับ ใหญ่มั่กๆ ป้าส้มอยากจะซื้อกินสักหวี แต่โดนห้ามไว้ เพราะไม่มีใครช่วยแบก


ห้องน้ำจุดพักรถ ความสะอาดให้ 5 เต็ม 10 


เห็นชาวบ้านกินข้าวแกงอยู่คิดว่าน่าจะกินได้เลยลองสั่งดูครับกินให้รกท้องเอาไว้จะได้ไม่หิวระหว่างทาง


ทุกคนบอกอร่อยหมดเลยยกเว้นหลวงไข่ครับ ไม่ไหวเลย แกงแพะ ผมว่ามันคาวมาก เลยกินแต่น้ำแกง เนื้อตักให้ลุงเสริมหมดเลย ลุงเสริมก็บอกอร่อย โอ้ว...บร๊ะเจ้า...


ให้ดูนะครับว่าในจานมีเนื้ออยู่นิดหน่อย ที่เหลือเป็นผัก ถั่ว พริกเผาด้วย แต่ราถาถูกมาก จานละ 500 จั๊ตเองครับ (ประมาณ 16 บาท) 


กินไปจะเสร็จอยู่แล้ว เห็นคนเริ่มกลับมาขึ้นรถตู้ เลยรีบกินให้เสร็จ


โฉมหน้าพี่หม่องเด็กรถ น้ำหมากกระจายแบบสะใจไปเลย ระหว่างที่นั่งรถมา พี่แกอยู่บนหลังคามาตลอดทางเลยครับ เฝ้ากระเป๋าให้พวกเรา 


รถออกจากที่จุดพักรถมาสักครึ่งชั่วโมงฝนก็ทำท่าจะตก คนขับจอดเอาผ้ายางคลุมของบนหลังคาครับ หลังจากนั้นก็เจอฝนห่าใหญ่มากๆ ตลอดทางจนถึงโมนยวาเลยครับ ถึงแล้ว สถานีขนส่งเมืองโมนยวา ใช้เวลาเดือนทาง 4 ชั่วโมงเต็มๆครับ 


ถึงแล้วก็ลงรถ รอเขาเอากระเป๋าลงจากหลังคารถให้


แล้วก็จะมีตาลุงแก่ๆ พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย มาทาบทามเราว่าไปไหน เราบอกไปโรงแรม วินยูนิตี้ ที่จองเอาไว้ กับอโกด้า  ตกลงราคาเอาไว้ 4,000 จั๊ต (ประมาณ 133 บาท) 


ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นรถของตาลุงคนนี้เลย แต่แกก็เรียกหนุ่มหม่องอีกคนหนึ่งมา แต่รถเล็กมากๆครับ พวกเรา 5 คนพร้อมกระเป๋า นั่งไปแน่นรถเลยครับ แต่ก็มาถึงโรงแรมจนได้ ใช้เวลา 15 นาทีถึงโรงแรม Win Unity ครับ ไกลจากสถานีขนส่งใช้ได้เหมือนกันครับ จะบอกว่าโมนยวาเป็นเมืองใหญ่ใช้ได้เลยครับ ถนนหนทางก็ดูสะอาดสะอ้านดีครับ รถเยอะ แต่ดูไม่วุ่นวายเท่ามัณฑะเลย์ครับ 


เข้าไปก็จัดการเช็คอินครับ มีทัวร์ของโรงแรมมานำเสนอเราด้วยครับ ตรงใจเราพอดี เพราะเมืองนี้คงหารถเที่ยวยากครับ ผมเลยขอแนะนำว่าจองกับโรงแรมดีที่สุดครับ รถใหม่ คนขับดี แพงไปหน่อยแต่ไม่มีทางเลือกครับ พวกเรามี 5 คน บังครับใช้รถตู้ครับ ถ้า 2 คนเขาให้ใช้รถ TOYOTA SUCCEED ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ราคาก็จะถูกกว่า ผมเลือกทัวร์หมายเลข 13 ครับ ไปถ้ำโพวินต่อง เจดีย์สัมพุทเธ (พม่าเรียกทันโบเด) และวัดพระยืนพระนอนองค์ใหญ่ชื่อวัดโพธิตาต่องครับ แต่อีกวัดที่ชื่อเจ๊ากา ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน (ขอเรียกวัดพระตาโตละกันครับ เพราะชาวบ้านปิดทององค์พระซะตาเป็นลูกกลมโตเลยครับ) แต่ก็เลือกโปรแกรมนี้ครับ ราคา 86,500 จั๊ต (ประมาณ 2,883 บาท) แพงใช้ได้เลย แต่ก็หาร 5 ตกคนละประมาณ 576 บาท ก็รับได้กับราคานี้ครับ 


จ่ายตังค์เรียบร้อยสบายใจ นัดไปทัวร์ตอน7 โมงเช้าเลยครับ (ซึ่งผมไม่ขอแนะนำเวลานี้ครับ ถ้าจะไปเมืองพุกามต่อเหมือนพวกผม เพราะมีรถบัสแบบไม่มีแอร์ไปพุกามตอนสองทุ่มครับ ให้ออกทัวร์สัก 11 โมงหรือเที่ยง กำลังสวย เช็คเอ๊าท์เสร็จ ออกเที่ยวทริป เสร็จแล้วจะได้ไปรอรถที่ขนส่งเลย เพราะทริปที่จองนี้ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงครับ พวกเราออกเช้าไปเพราะเราไม่รู้ว่ารถไปพุกามมีกี่โมงบ้าง พนักงานหน้าฟร้อนท์โรงแรมก็ไม่มีใครรู้เลย เลยคิดว่าออกเที่ยวเร็วๆจะดีที่สุด แต่คิดผิดถนัดครับ ทัวร์เสร็จตอนบ่าย ต้องกลับมานั่งรอฆ่าเวลาที่โรงแรมแบบเซ็งๆอีกเกือบ 5 ชั่วโมง ไม่อยากรอที่ขนส่งเพราะร้อนมาก โรงแรมหน้าฟร้อนท์ก็ไม่มีแอร์ครับ มีแต่พัดลม แต่ก็ไม่ร้อนมาก เพราะฉะนั้น จำไว้เลยนะครับ ทัวร์เมืองโมนยวา ถ้าจะเดินทางไปพุกามต่อ ต้องเริ่ม 11 โมง หรือเที่ยงครับ จะได้ไม่ต้องรอรถนานเหมือนพวกเรา)


เช็คอินเสร็จ ซื้อทัวร์เสร็จก็ถึงเวลาเข้านอนครับ ทั้งทริป โรงแรม Win Unity แห่งนี้ห้องนี้ดีที่สุดครับ แต่ไม่ได้แพงที่สุด (แพงที่สุดคือที่พระธาตุอินทร์แขวนครับ ) ที่โมนยวามีโรงแรมที่จองได้กับอโกด้าคือที่วินยูนิตี้ที่เดียวครับตอนนั้น แต่ปัจจุบันเห็นมีอีกโรงแรมครับที่จองกับอโกด้าได้ ชื่อ Chindwin Hotel ห้องราคาถูกกว่าที่วินยูนิตี้ครับ 



5 ความคิดเห็น:

  1. ชอบจัง..มีประโยชน์มากเลยครับ
    ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ 😀

    ตอบลบ
  2. ครับผม ยินดีมากครับที่มีคนเข้ามาอ่านครับ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณมากค่ะ กำลังจะแบกเป้ไปพม่า าาาาาา

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ยินดีครับ ตอนนี้ไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว สะดวกกว่าเมื่อก่อนเยอะครับ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ

      ลบ
  4. ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ เยี่ยมยอดม๊กมากค่ะ

    ตอบลบ