รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง

รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง
มัณฑะเลย์ โมนยวา พุกาม ทะเลสาบอินเล ย่างกุ้ง สิเรียม หงสาวดี พระธาตุอินทร์แขวน

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

วันที่ 3 Unseen Myanmar เที่ยวถ้ำโพวินต่อง เจดีย์สัมพุทเธ วัดโพธิตาต่อง วัดเจ๊าการ์ เดินทางโดยรถบัสรอบ 2 ทุ่มจากโมนยวาไปเมืองพุกาม (บากัน)

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม 2557 (2014) เป็นวันที่ 3 ของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศพม่าของพวกเรานะครับ วันนี้จะเที่ยวเมืองโมนยวา (Monywa) ครับ ออกเสียงชื่อเมืองเป็นสองพยางค์นะครับ โมน-ยวา ออกเสียงยากนิดหนึ่งครับ เพราะภาษาไทยไม่มีเสียง ย ควบ ว ครับ เมืองนี้ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรู้จักมากนักครับ แต่เขามีของดีที่น่าชมไม่น้อยเลยครับ ถือได้ว่าเป็นอันซีนเมียนมาร์เลยก็ว่าได้ครับ ก่อนอื่นก็มาชมคลิปที่น้องออดี้ทำไว้ก่อนนะครับ รู้สึกว่าน้องเขาจะมึนเล็กน้อย ภาพวันนี้เลยเป็นแนวตั้งบ้างแนวนอนบ้าง แต่ก็พอดูรู้เรื่องนะครับ ขอเชิญชมครับ 


ก่อนอื่น ขอบอกอีกทีว่าวันนี้เราแพลนการเที่ยวได้ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงครับ เพราะจะเที่ยวโมนยวาตอนเช้า แล้วกะว่าจะหารถไปพุกามตอนบ่าย เลยเริ่มทริปกันตั้งแต่ 7 โมงเช้าเลยครับ แต่หารู้ไม่ว่า รถบัสจากโมนยวาไปพุกาม มีแค่สองเที่ยวต่อวันครับ คือรอบ 11 โมงเช้าแล้วก็รอบ สองทุ่มครับ (20:00 น.) ทริปเราเสร็จประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ เลยต้องกลับมาโรงแรม Win Unity มานั่งฆ่าเวลาอีกเกือบ 6 ชั่วโมงแบบเซ็งๆ เพราะเช็คเอ๊าท์ไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว เพราะฉะนั้น ขอย้ำว่าถ้าไม่อยากรอรถไปพุกามจนเหงือกแห้งเหมือนผมก็ควรจะเริ่มทริปสัก 11 โมงกำลังดีครับ แต่ต้องดูด้วยว่ารถโรงแรมว่างหรือเปล่านะครับ ดูราคาทัวร์เมืองโมนยวาได้ในบทความที่แล้วนะครับ 


ก่อนเที่ยวก็ขอเก็บภาพโรงแรม Win Unity ก่อนนะครับ ก่อนที่เราจะไปรับประทานอาหารเช้า 


ต้องขอชมว่าตลอดทั้งทริปพม่าของผม โรงแรม วินยูนิตี้นี้ สวยที่สุด และหรูที่สุด ที่จองกับอโกด้าได้ เพราะมีให้เลือกแค่โรงแรมเดียวครับ คืนละ 3000 กว่าบาท แต่ห้องสวยมาก สะอาดมากๆ อาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์ไลน์ให้ตักเอาเองเยอะมากๆครับ 


สระว่ายน้ำโรงแรมครับ ไม่มีเวลามาว่าย และก็ไม่เห็นมีใครมาว่ายด้วยครับ 


สระว่ายน้ำ + ป้ายโรงแรมครับ 


ด้านข้างโรงแรม มีทะเลสาบอยู่ด้วยครับ และมีห้องเป็นลักษณะเป็น Private Villa ยื่นออกไปในทะเลสาบ กันทายา (Kan Thar Yar Lake) ด้วยครับ


เข้าไปดูซะหน่อย บรรยากาศยามเช้า สงบเงียบดีจังเลยครับโรงแรมนี้ 


เดินมาหน้าโรงแรม ถ่ายป้ายโรงแรมภาษาพม่าครับ 


อีกฝั่งเป็นป้ายภาษาอังกฤษครับ 


คนละฟากถนนด้านหน้าโรงแรม มีร้านอาหารดูค่อนข้างจะมีระดับขึ้นมาหน่อยครับ รู้สึกจะชื่อ Golden Orange แต่เราไม่ได้กินร้านนี้ครับ เรากินบ้านๆกว่านั้น (เดี๋ยวอ่านไปเรื่อยๆจะเจอครับว่าพวกผมกินร้านไหน เพราะตอนบ่ายหลังจากที่รอรถฆ่าเวลากันจนเหงือกแห้ง เราก็หิวเลยออกมากินกันก่อนเดินทางไปขนส่งครับ)


หน้าฟร้อนท์ครับตรง Reception 


กินข้าวเสร็จก็เช็คเอ๊าท์จากโรงแรม 7 โมงนิดๆก็ออกเที่ยวเลยครับ เอากระเป๋าสัมภาระทุกอย่างขึ้นรถไปด้วยหมดเลย (ซึ่งก็เซ็งเป็ดอย่างมากที่ต้องยกลงตอนกลับมาจากทริปตอนบ่าย มานั่งแกร่วอยู่ในโรงแรมอีกครั้ง) คนขับรถเป็นพนักงานเบลล์บอยของโรงแรมครับ เลี้ยวซ้ายออกจากโรงแรมขึ้นไปด้านเหนือไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกใหญ่อีกที ขับมาอีกนิดเดียวเจอสะพานข้ามแม่น้ำชินด์วินครับ (Chindwin River) เรากำลังมุ่งหน้าไปชมพระพุทธรูปโบราณในถ้ำโพวินต่องครับ (Hpo Win Daung Cave) 


ตั้งแต่ข้ามแม่น้ำชินด์วินมา ประชากรเริ่มบางตาครับ ส่วนใหญ่เป็นท้องทุ่งโล่งๆ แห้งๆแล้งๆ แล้วก็มาถึงสะพานอีกสะพานครับข้ามแม่น้ำอะไรก็ไม่รู้ครับ น้ำแห้งมาก


แต่ขอบอกว่าสะพานแห่งนี้เดินรถได้ครั้งละ 1 ทางครับ เพราะฉะนั้นจะมีเจ้าหน้าที่คอยโบกควบคุมรถ และให้สัญญาณว่าให้ฝั่งไหนหยุดฝั่งไหนรอ


ดูกันชัดๆนะครับ สภาพสะพาน เป็นโครงเหล็กแต่ปูพื้นสะพานด้วยไม้ แต่ว่าไม่เรียบเลย รถวิ่งไปกระโดดไป แถมมีไม้หลุดเป็นร่องด้วยบางอัน มอเตอร์ไซต์ต้องขี่อย่างระมัดระวังมากๆครับ


ผ่านสะพานนั้นมาก็จะเห็นกระต๊อบเล็กๆแบบนี้ ด้านหลังที่เป็นคันดินสูงๆ เท่าที่ผมอ่านข้อมูลมาคิดว่าเขาทำเหมืองทองแดงครับ 


บรรยากาศดูแห้งแล้งดีมั้ยครับ มีแต่ดินทรายเหลืองๆ แต่ก็แปลกตาไปอีกแบบ ต้นไม้ใหญ่ไม่มีเลย


ผ่านเหมืองมาก็จะเห็นวิวภูเขาแบบนี้อยู่เบื้องหน้าครับ ต้นตาลเยอะแยะเลยครับ วิวสวยแปลกตาดี


ตอนแรกเห็นโล่งๆ ไม่คิดว่าไม่น่าจะมีคนอาศัยแถวนี้แล้วนะ ที่ไหนได้ คนเยอะเลยครับ สัญจรไปมาเต็มไปหมด 


ท่านั่งมอเตอร์ไซต์สะพายข้างแบบนี้นึกว่ามีแต่เมืองไทยซะอีก พม่าก็นั่งเป็นเหมือนกันครับ 5555+++


หนทางอีกยาวไกล 


ยังอุตส่าห์มีวัดแถวนี้อีกแฮะ (ภาพเบลอ อิๆๆ ถ่ายตอนรถวิ่ง)

เหมืองทองแดงครับ


เหมืองทองแดงครับ


เหมืองทองแดง อีกรูป

แถวนี้ชาวบ้านใช้จักรยานนะครับ


ทางเริ่มจะแคบลงเรื่อยๆ 


ในที่สุดก็มาถึงวัดถ้ำโพวินต่องครับ (Hpo Win Daung Cave) ใช้เวลาเดินทางจากโมนยวามาที่นี่ 1 ชั่วโมง กับอีก 15 นาทีครับ 


หน้าประตูทางเข้าวัดมีร้านค้า มีซุ้มขายหมาก และมีห้องน้ำบริการด้วย แต่เห็นเปิดไม่ทุกห้อง บางห้องก็ล็อคประตูเอาไว้ไม่ให้คนเข้า แต่ทำธุรเสร็จแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาเก็บตังค์ค่าเข้าห้องน้ำครับ 


ทางเข้าวัด เมื่อเดินมาข้างใน แต่เราไม่ได้เดินไปดูว่ามันคืออะไร


พนักงานโรงแรมขับพาเรามาจอดใต้ต้นไม้หน้าทางขึ้นไปชมถ้ำครับ หลังจากนี้เราก็เผชิญกับขบวนแม่ค้าครับ รุมเข้ามาจะขายมะเขือเทศไว้แจกลิง 


บันไดทางเดินขึ้นถ้าโพวินต่องครับ ข้างหน้ามีป้ายว่านักท่งอเที่ยวต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 2 US dollars ด้วยครับ แต่ไม่เห็นมีใครมาเก็บ เราขึ้นไปเลยครับ 


ซื้อมะเขือเทศให้เจ้าจ๋อ 1 ถุง เพราะรำคาญแม่ค้า คิดว่าจะไปเมื่อเราซื้อเสร็จ ที่ไหนได้ ยังตามเราเดินขึ้นมาอีกเพื่อจะได้ขายเพิ่ม เฮ้อ... เหนื่อยใจกับแม่ค้าพม่าจริงๆ 


เดินตามทางเดินขึ้นไปเรื่อยๆ แม่ค้าขายมะเขื่อเทศ เดินมาบอกทางให้เลี้ยวขวาไปก่อนจะเจออีกทางเดินแยกไป 


ก็จะมาเจอทางขึ้นแบบนี้ มีฉิ่นตีตัวใหญ่เฝ้าอยู่ด้านหน้า 


มีถ้ำเล็กๆ เป็นคูหาเจาะเข้าไปในหิน


ชะโงกหน้าเข้าไปดูก็เป็นพระพุทธรูปอยู่ด้านในครับ ทุกถ้าเป็นแบบนี้หมด 


บางถ้าก็ยังเหลือรอยภาพเขีบยบนผนังเอาไว้


ดูโบราณและสวยงามดีครับ 


ถ้ำนี้มีพระนอนด้วยแลัสามารถปิดทององค์พระได้ด้วยครับ มีเจ้าหน้าที่ขายทองให้เราปิดอยู่หน้าถ้ำ


อีกถ้ำครับ


ถ้ำดียวกับรูปข้างบนแต่ถ่ายจากคนละด้านครับ 


พระนอนในอีกถ้ำครับ


เดินไปเรื่อยๆ ก็มีบันไดขึ้นไปอีกระดับหนึ่งครับ 


ขึ้นมาแล้วเจออีกหมู่ถ้ำมากมายครับ 


เดินขึ้นไปบนเนินตรงนี้ เห็นวิวรอบๆในมุมสูงครับ 


จากข้างบนมองลงมาหมู่ถ้ำด้านล่างเมื่อกี้ 


บางถ้าก็มีทางเดินทะลุถึงกันด้วยข้างในครับ 


ถ้ำนี้ภาพบนผนังถ้ำดูไม่รู้เรื่องแล้วครับ แต่ในอดีตคาดว่าคงสวยงามน่าดูชมครับ 


มีถ้ำอีกหลายๆมุมมากๆครับ 


ตรงนี้มีทั้งเก่า และบูรณะขึ้นมาใหม่ด้วย ทาสีซะผมว่าไม่เข้ากันเลย ดูขัดตากับของเก่ายังไงก็ไม่รู้นะเนี่ย 


ถ้ำนี้แคบ ถายรูปยากมาก 


ถ้ำนี้ยังไม่ทาสีพระเลยครับ 


ถ้ำเดียวกับรูปข้างบนแต่คนละมุมครับ 


รูปนกยูงหินสลักบนประตูหน้าทางเข้าถ้ำ


ฉิ่นตีหลายตัวมากครับตรงหน้าถ้ำเก่าถ้ำใหม่


ถ้ำนี้ยาวสุดแล้วครับ 


วิวโล่งๆ ไม่มีอะไรเลยครับ แถวนี้ ดูแห้งแล้งมากๆ 


ตรงนี้ก็เป็นหลืบเข้าไป มีถำ้อยู่อีกจำนวนหนึ่ง


เข้าไปดูก็เป็นพระองค์ใหญ่ๆหลายองค์ครับ 


บางถ้ำก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีเหล็กกั้นแบบนี้


อีกองค์ครับ พระยืนองค์นี้สูงประมาณ 3 เมตรเห็นจะได้ครับ 


มอองไปอีกไกลๆก็ยังมีหมู่ถ้ำอีกเยอะมากๆครับ 


เยอะมากเกิน เลยตัดสินใจเดินกลับครับ เพราะว่าเหนื่อย 555 ระหว่างทางเดินกลับก็จะเจอหมู่ถ้ำอีกเรื่อยๆ


จะบอกว่าแม่ค้ามะเขือเทศจะไปกับเราทุกย่างก้าวนะครับ ตื๊อมากๆ แต่เราช่วยซื้อนิดหน่อยเอง เขาคงตั้งใจขายมากๆ เพราะผมเห็นแล้วว่านอกจากเราแล้ว ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนย่างกรายมาชมที่นี่เลยครับ 


หมู่วานรกำลังเพลิดเพลินกับอาหารที่ชาวบ้านโยนทิ้งไว้ด้วย


ทางเดินมีขายของที่ระลึกด้วยนิดหน่อยครับ 


ให้เห็นป้ายว่า นักท่องเที่ยวต้องจ่ายคนละ 2 US ดอลลาร์ครับ แต่ไม่มีใครมาเก็บ เราเลยไม่ได้จ่ายครับ 


เดินไปที่รถ โชเฟอร์โรงแรม พาเราออกมาทางเดิม เจอรถกระบะบรรทุกกระด้งเต็มคัน วิ่งขวางเต็มถนน แซงไม่ได้ ถนนเล็กมากช่วงตรงนี้ 


แห้งแล้งแต่มีต้นตาลเยอะมากๆครับ 


ผ่านวัดตรงนี้ด้วย ขามา ถ่ายไม่ทัน


ผ่านเหมืองทองเดงเหมือนเดิมครับ 


ชาวบ้านเลี้ยงวัวเยอะมากๆ


ผ่านสะพานไม้ ข้ามแม่น้ำเหมือนเดิมครับ 


เด็กๆเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน


มีชุมชนอาศัยระหว่างทางแถวนี้เล็กน้อย 


ไม่รู้ว่าก่อสร้างบริษัท หรือที่อยู่อาศัย ยังสร้างไม่เสร็จ


มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำซินด์วินอีกรอบครับ


กลับเข้ามาในเมืองโมนยวาเหมือนเดิมแล้วครับ ผ่านด่านเก็บเงินเช่นเคย 


ด่านเก็บเงิน เข้าออกเมืองโมนยวาครับ 


สภาพการจราจรเมืองโมนยวาครับ 


โชเฟอร์รถโรงแรม พาเรากลับเข้ามาในเมืองโมนยวาเหมือนเดิม แล้วก็ผ่านหน้าโรงแรมวินยูนิตี้ที่เราพัก แล้วก็ขับเลยไปที่ขนส่งเมืองโมนยวา เพื่อซื้อตั๋วรถบัสไปเมืองพุกามครับ (หญ๋าวอู) แต่ก็ถึงบางอ้อตรงนี้ว่ารถมีแค่ 2  เที่ยวต่อวันคือ 11:00 น. และ 2 ทุ่มครับ เราเลยต้องซื้อตั๋วรอบ 2 ทุ่มเพราะต้องเที่ยวต่อให้จบโปรแกรม   Public Bus from Monywa to Nyaung U only has 2 times a day : at 11:00 a.m. and 20:00 Hrs.


ซื้อตั๋วเสร็จ โชเฟอร์พาเราไปเที่ยวเจดีย์สัมพุทเธต่อครับ (Thanboddhay Paya)


เจดีย์แห่งนี้มีจุดเด่นตรงที่มีพระพุทธรูปอยู่ทุกคนทุกแห่งทุกซอกทุกมุมครับ ไม่ว่าจะด้านนอกด้านใน ตามเสาจะมีเป็นช่องๆ และมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆมากมายรวมๆกันนับแสนๆองค์เลยครับ


มองทางไหนก็เจอพระพุทธรูปครับ


สวยงามควรค่าแก่การมาแวะชมครับ


สังเกตุดูนะครับมีพระพุทธรูปทุกที่ครับ องค์เล็กๆตามผนังตามเสาทุกที่ 


เอามาให้ดูอีกรูปครับ


องค์เดิม รูปข้างบนเมื่อกี้


เยอะมากๆจริงๆ 


มาดูข้างนอกกันบ้าง สังเกตดูที่เสานะครับ องค์พระพุทธรูปทั้งนั้นเลยครับ


เน้นสีสันฉูดฉาด ตระการตา


เสาเล็กเสาน้อยแค่ไหนก็มีทุกที่จริงๆ


ได้เวลา โชเฟอร์หนุ่ม พนักงานโรงแรมก็พาเราไปชมที่ต่อไปคือพระยืนพระนอนครับ ระหว่างทางเจอฝูงแพะครับ เดินเป็นแถวน่ารักเชียว


ไม่นานเราก็เดินทางมาถึงวัดพระยืนพระนอน เห็นองค์พระยืน ชื่อว่า เลจุนเซะจ่าร์ (Laykyun Setkyar) ชื่ออ่านยากมาก 


แดดค่อนข้างแรงมากเลยทีเดียวครับ น้องโชว์เฟอร์จอดตรงเนินตรงนี้เพื่อให้เราเดินลงไปถ่ายรูปกับพระยืนเลจุนเซะจ่า (Laykyun Setkya) กับพระนอนเซ่วตาลอง 



เข้ามาในบริเวณวัด ด้านข้างถนนเต็มไปด้วยองค์พระพุทธรูปใต้ต้นโพธิ์นับเป็นพันๆองค์สุดลูกหูลูกตาเลยครับ 

มีองค์นี้ด้วยครับ แต่ไม่สูงเท่าไหร่


ขึ้นมาด้านบนผ่านองค์พระนอนเซ่วต่าลองขึ้นมาจะเป็นลานจอดรถ และเราสามารถเดินขึ้นไปยังพระยืนเลจุนเซะจ่า (Laykyun Setkyar) ได้ครับ 


องค์พระยืนเลจุนเซะจ่า สูง 132 ผมนับจำนวนชั้นคร่าวๆที่อยู่ภายในองค์พระได้ประมาณ 22 ชั้นครับ และจะบอกว่าองค์พระยืนองค์นี้ ทำให้ผมอยากมาเยื่อนเมืองโมนยวาแห่งนี้ครับ ทั้งๆที่ผมไม่เคยมีแผนมาเมืองนี้มาก่อนเลย


ด้านในองค์พระยืนที่ฝาผนังมีแผ่นโปสเตอร์ขนาดใหญ่แสดงรายละเอียดในแต่ละชั้นว่าเก็บอะไรไว้บ้าง เป็นภาษาพ่าหมดเลยครับ มิสามารถจะเข้าใจได้เลย 


องค์พระพุทธรูปในชั้นล่างสุครับ เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ด้วยแสงไฟที่ฉายตกลงไปกระทบครับ 


ผมจำไม่ได้แล้วว่าแต่ละรูปที่เอามาลงมีอะไรอยู่ชั้นไหนบ้าง เลือกมาเฉพาะสวยๆแล้วนะครับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


ชั้นสูงๆขึ้นไป องค์พระยิ่งน้อยลงเรื่อยๆครับ แต่ละชั้นก็มีภาพเขียน และอธิบายภาษาพม่าทุกชั้นเลยครับ 


อันนี้ช่องลิฟท์ครับ เขายังสร้างไม่เสร็จ เลยกั้นเอาไว้ 


วิวที่มองมาจากด้านบนลงมาด้านล่างครับ 


เสร็จแล้วก็กลับลงมาด้านล่าง ว่าจะเข้าไปชมในองค์พระนอนด้วย แต่สมาชิกเริ่มหิวข้าวกันแล้ว เป็นอันยกเลิกไป ขากลับออกมาทางเดิม ถ่ายพระพุทธรูปใต้ต้นโพธิ์อีกที 


ตรงปากทางเข้าวัดมีร้านข้าวอยู่ด้วย โชเฟอร์พาเรามากินที่นี่ กับข้าวเลือกเอาเลยว่าจะกินอันไหนบ้างแบบว่าเขาเซ็ท วางบนโต๊ะเอาไว้แล้ว มื้อนี้ค่อนข้างกินได้เยอะ สมาชิกทุกคนบอกว่าอร่อยครับ มื้อนี้เราจ่ายค่าข้าวทั้งหมด 22,000 จั๊ต (ประมาณ 733 บาท) ถ้าเฉลี่ยกันแล้ว 6 คน รวมคนขับก็คนละ ประมาณ 122 บาท ก็ไม่แพงเลย เพราะเรากินกันเยอะมากแบบพุงปลิ้นไปเลย (โฉมหน้าโชเฟอร์ของเราครับ น้องคนนี้เป็นเบลบอยที่โรงแรม วินยูนิตี้ที่เราพักในเมืองโมนยวานี้ครับ) 


ตรงข้ามร้านข้าวอีกฟากถนนมีร้านขายทานาคาเยอะมากครับ 


แล้วก็มีไส้กรอกอยู่ในตู้ไม่รู้เนื้ออะไร แต่ดูสีแล้ว น่ากลัวมากกว่าน่ากิน 555


กินข้าวเสร็จแล้วน้องโชเฟอร์ของเราก็พาพวกเราลัดทุ่งนาป่าเขาไปอีกเกือบๆชั่วโมง ถนนเป็นอิฐบล็อกด้วยครับ เป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก 


ตามด้วยถนนลูกรัง


เจอด่านผ่านทางเก็บตังค์อีกแล้วครับ (โชเฟอร์จ่ายเองทุกครั้ง)


ในที่สุดเราก็มาถึงวัดเจ๊าการ์ครับ ผมไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อนเลยครับ ในโปรแกรมทัวร์มันมีอยู่แล้ว ก็เลยลองมาดูให้ครบตามโปรแกรม วันนี้มีงานวัดด้วยครับ ขายของในวัดครับ 


ให้ความรู้สึกประมาณงานดือนสิบนครศรีธรรมราชบ้านผมมากๆครับ 555+++


พวกเราก็เดินดูของเรื่อยๆครับ แปลกตาดี ของกินของใช้ชาวพม่า 


ขนมอะไรก็ไม่รู้ขายในกระด้ง เยอะมากๆ 


ป้าส้มเลือกขนมสีขาวๆเคลือบน้ำตาลใส่ถุงมาแม่ค้าคิดเงิน 150 จั๊ด หรือประมาณ 5 บาท ได้มาเยอะมากๆ ถามแม่ค้าบอกว่าชื่อขนม "มะจี" ขอบอกว่าหวานมาก หวานจนแสบอก จริงๆครับ ไม่ได้โม้ สรุปคือต้องทิ้ง 555 เพราะกลัวเป็นโรคเบาหวานซะก่อนถ้ากินหมดถุงนั่น 


เข้ามาในอาคารที่ประดิษฐานองค์พระเจ๊าการ์ครับ 


ตลอดทางเดินก็มีของขายแบบนี้ตลอดทางเดินครับ มีเด็กพม่าสองสามคนมาเดินขอตังค์ด้วยแต่ผมไม่ให้ แกล้งเดินวนไปวนมาจนเด็กมันเลิกตามไปเอง 


ด้านในสุดก็เจอพระเจ๊าการ์ครับ กะจะไม่ถ่ายติดคนซะหน่อย พี่หม่องคนนี้เล่นปิดซองซะนานสองนานจนเราหมดความอดทนรอพี่แก เลยให้เกีรติถ่ายรูปพี่ติดมาด้วยเป็นที่ระลึกครับ ผมไม่มีข้อมูลพระนี้นะครับ ต้องขออภัย พยายามหาแล้วใน Lonely Planet ก็ไม่มีข้อมูลครับ 


ด้านนอกอาคารมีร้านขายของโดยเฉพาะทานาคา เต็มพรืดไปหมด แม่ค้าน่ารักใจดี ลองให้พวกเราทาด้วย แต่ยังไม่อยากลองก่อนครับตอนนี้ ป้าส้มซื้อทานาคาสำเร็จรูปไปหลายกระปุกจากที่นี่ครับ 


มีหลายขนาดมากครับ แล้วแต่ถนัด ดุ้นขนาดไหน 


เดินกลับเข้ามาในตัวอาคาร อีกมุมเจอพระพุทธรูปหยกขาวศิลปะพม่าสวยๆงดงามมากครับ 


ผมยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม นกฮูก หรือตุ๊กตานกฮูก ถึงได้มีขายทุกที่


มาเจอร้านส้มตำพม่าครับ แต่ราดน้ำแกงให้ความรู้สึกเหมือนกินมะละกอกับน้ำยาขนมจีนครับ แต่ไม่กล้าลอง กลัวกินไม่ได้ครับ


แท่งสำหรับฝนทานาคาครับ 


เสร็จทริปก็กลับโรงแรมเหมือนเดิม จ่ายทิปน้องเขาไป 6,000 จั๊ต พนักงานหน้าฟร้อนท์เห็นพวกเรากลับโรงแรมมาเหมือนเดิมก็ขำพวกเรากันใหญ่  ใช้เวลาไปเที่ยวรวม 6 ชั่วโมง 7:00- 13:00 น. ไปนั่งรออีก 6 ชั่วโมงกว่าๆ เพื่อจะได้ไปขึ้นรถที่ท่ารถไปหญ่าวอู (เมืองพุกาม) รอจนเบื่อ ไม่รู้จะทำอะไร เกือบ 5 โมงเย็นเลยตัดสินใจเดินออกมาจากโรงแรมวินยูนิตี้ เดินเลี้ยวขวาจากประตูโรงแรมอีก 200 เมตร เจอร้านนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน เลยสั่งอาหารกินกัน มื้อนี้จ่ายไปอีก 17,900 จั๊ต ประมาณ 596 บาท ตกคนละ 119 บาท ก็โอเคครับ ไม่แพงมาก 


ให้ดูป้ายครับ ชื่อร้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือแค่โฆษณาเมียนม่าร์เบียร์?


กินข้าวเสร็จก็เหมาตุ๊กๆพี่คนนี้ไปขนส่งครับ 4,000 จั๊ต (ประมาณ 133 บาท) 


ถึงแล้วครับสถานีขนส่งเมืองโมนยวา  (Monywa Bus Terminal) รถบัสคันนี้แหละครับที่เราจะนั่งไปหญ่าวอู (พุกาม) ตอนนี้เงียบมาก ยังไม่มีคนเลย 


คนรถบอกให้นั่งรอหน้าออฟฟิซที่เรามาซื้อตั๋วเมื่อเช้า 


ประมาณทุ่มครึ่ง พนักงานรถบัสบอกให้เราขึ้นรถได้ เอากระเป๋าสัมภาระไว้ข้างล่างรถในช่องเก็บของ เราอุตส่าห์ดีใจว่ารถโล่งมาก ไม่มีคนแน่ๆ 


ที่ไหนได้ รถเต็ม แน่นเอี๊ยดเลยครับ ยิ่งกว่าปลากระป๋องอีก เพราะแถวกลางยังกลายเป็นเก้าอี้เสริมครับ อึดอัดมากมาย ร้อนก็ร้อนละครับทีนี้ เหงื่อเริ่มตก 5555 รถก็ไม่ยอมออกซะที สองทุ่มแล้วก็ไม่ออกครับ ออกประมาณ 2 ทุ่ม 10 นาที พอรถออกค่อยยังชั่วหน่อย ลมได้โกรกเอาความร้อนความแออัดออกไปได้บ้าง 


ประมาณเกือบๆเที่ยงคืน รถจอดให้เรากินข้าวก่อนถึงหญ่าวอูครับ (ค่าข้าวไม่ได้รวมในตั๋วครับ จ่ายเอง) แต่เราไม่กิน เพราะดึกแล้วไม่หิว แค่เข้าห้องน้ำ 


ให้ดูชื่อร้านที่รถจอดกินข้าวครับ 


ร้านที่รถจอดกินข้าวครับ 


ประมาณ 20 นาทีที่แวะจอดกินข้าว คนขับรถก็เรียกให้ขึ้นรถ นั่งต่อมาอีก 15 นาทีได้มั้ง ก็ถึงสถานีขนส่งหญ่าวอูครับ ถึงหญ่าวอูตอนเที่ยงคืนพอดี ใช้เวลา 4 ชั่วโมงพอดีเด๊ะ จากโมนยวา (รถบัสคันนี้จะวิ่งต่อไปมัณฑะเลย์อีกครับหลังจากนี้ คงถึงมััณฑะเลย์เช้าเลยมั้ง วิ่งอ้อมโลกขนาดนี้) 
ที่นี่เป็นสถานีขนส่งแห่งใหม่ของหญ่าวอู เพิ่งย้ายมาที่ใหม่นี้ประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนเราเดินทางจากที่เก่าที่อยู่ข้างโรงแรมอองมินกลาร์ที่เราจองเอาไว้ ทำให้ผมสับสนเป็นอย่างมาก ว่าสามารถเดินไปโรงแรมได้ ที่ไหนได้ มันอยู่นอกเมืองครับ ต้องเหมารถไปอีก เกือบ 15 นาที กว่าจะถึงโรงแรม โดนฟันค่าเหมารถไปโรงแรมแบบเลือดซิบๆ อีก 15,000 จั๊ต (500 บาท) เพราะไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องยอมมัน ไม่มีรถอื่นเลยในขนส่ง รถที่เหมาไปเป็นรถกระบะเล็ก ไม่มีหลังคา ไม่มีเบาะนั่งด้วยครับ นั่งไปกับพื้นรถกระบะ แต่มีเสื่อปูให้


ประมาณ 15-20 นาที เราก็มาถึงโรงแรม อองมินกลาร์ ที่จองไว้ครับ โชคดีที่เจ้าหน้าที่โรงแรมยังรออยู่ เขาบอกว่านึกว่าพวกเราไม่มาซะแล้ว เราเลยถามว่าทำไมขนส่งไม่ได้อยู่ใกล้โรงแรมแล้วหรือ ก็ได้คำตอบว่ามันย้ายไปได้ 2 อาทิตย์แล้ว ไปที่ใหม่ที่พวกเรามาเมื่อกี้ เลยหายงง เสร็จแล้วก็นอนครับ คืนนี้เหนื่อยมากกับการเดินทางที่แสนทรมาน รูทนี้ ทรมานสุดแล้วครับ รูทอืนไม่ลำบากเลยครับ จริงๆ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น