รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง

รีวิวทริปเที่ยวพม่าด้วยตัวเอง
มัณฑะเลย์ โมนยวา พุกาม ทะเลสาบอินเล ย่างกุ้ง สิเรียม หงสาวดี พระธาตุอินทร์แขวน

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ข้อแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางไปพม่า



สวัสดีครับ พบกับหลวงไข่อีกแล้วในบล็อกนี้หลวงไข่จะพาทุกท่านไปเที่ยวพม่ากันนะครับ พม่าบ้านพี่เมืองน้องและมีความสัมพันธ์กับไทยมาตั้งแต่อดีต แต่ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางสงครามกกันมากกว่า วันนี้พม่าเปิดประเทศแล้ว ใครๆก็ต้องไปพม่าครับ เดินทางง่ายมากด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งมีให้เราเลือกว่าจะเดินทางไปเมืองไหน ระหว่างมันณฑะเลย์หรือย่างกุ้ง

ช่วงที่แอร์เอเชียมีโปรโมชั่นก็อย่าพลาดการจองนะครับ เดี๋ยวนี้ใครไม่มีบัตรเครดิตก็ซื้อตั๋วแอร์เอเชียได้ด้วยการไปจ่ายเงินกับเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านได้แล้วด้วยครับ 

การเดินทางของผมครั้งนี้ ใช้เวลา 9 วันใน 9 สถานที่และไปครบทุกสถานบูชาสูงสุดของพม่าทั้ง 5 ที่ ครับเริ่มต้นด้วยเมืองมัณฑเลย์ , เมืองโมนยวา, เมืองพุกาม (บ่ะกัน), ทะเลสาบอินเล, ย่างกุ้ง, หงสาวดี, พระธาตุไจ๊ก์ถิโย(พระธาตุอินทร์แขวน)  ดูแผนการเดินทางสรุปของพวกผมได้ที่นี่ครับ

ส่วนสถานบูชาสูงสุดขอองพม่าที่กล่าวไว้แแต่ต้นก็มี
1. พระมหามัยมุนี เมืองมัณฑะเลย์
2. เจดีย์ชเวสิกองเมืองพุกาม 
3. เจดีย์ชเวดากองเมืองย่างกุ้ง
4. เจดีย์ชเวมอดอว์ เมือองหงสาวดี (พะโคะ) หรือ คนพม่าเรียกบ่ะโก
5. เจดีย์ไจ๊ก์ถิโย หรือคนไทยเรียกพระธาตุอินทร์แขวนในรัฐมอญครับ

ปัจจุบันคนไทยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าพม่าแล้วนะครับ แค่มีพาสปอร์ตก็เที่ยวได้เลย อยู่ได้ 14 วัน (เริ่มเมื่อ 11 สิงหาคม 2558 ครับ) แต่ข้างล่างนี้เป็นข้อมูลเก่าปี 2557 สมัยที่ผมไปต้องขอวีซ่าครับ

หลังจากที่เราจองตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว การเดินทางไปพม่าเราก็ต้องมีวิซ่าเข้าประเทศพม่าด้วยครับ เราจะขอเองจากสถานทูตพม่าก็ได้ หรือใช้บริการขอวิซ่าจากบริษัททัวร์ครับ ส่วนของผมใช้บริษัททัวร์กเพราะไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ หากเดินทางมาขอเองที่สถานทูตพม่าก็เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกมากครับ 

ค่าวีซ่าเข้าประเทศพม่า 810 บาทครับ เป็นวีซ่าปกติไม่ใช่วีซ่าเร่งด่วน แต่บริษัทคิดเหมาคนละ 1300 บาทครับ เพราะผมไปกัน 5 คนครับ ราคานี้รวมค่าบริการและค่าส่ง EMS คืนให้เราแล้วด้วย ผมใช้ของบริษัท วี ทราเวล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (162/1 ซอยวัดอัมพวา ถนนอิสรภาพ แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กทม. 10700 Tel: 02 866 5657 แต่ไม่ได้รู้จักกันนะครับ ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ อิๆๆๆ) 

หลักฐานที่ต้องเตรียมให้บริษัทตัวแทนขอวีซ่าคือ
1.Passport ตัวจริงของทุกคนที่จะขอวีซ่า
2.สำเนาทะเบียนบ้านของทุกคนที่จะขอวีซ่า (ไม่ต้องเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้อง)
3.รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป พื้นหลังสีขาว (แต่พื้นหลังสีฟ้าก็ใช้ได้นะครับสำหรับประเทศพม่า)
4. หลักฐานการทำงานเช่นนามบัตรครับ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไรครับ  
เพื่อความถูกต้องก็ลองโทรไปถามบริษัทอีกทีนะครับ เผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลงทีหลัง 

การยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยวแบบนี้ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ครับ เพราะฉะนั้นก่อนคุณเดินทางไปพม่าสัก 1 เดือนก็ยื่นขอวีซ่าเสียแต่เนิ่นๆนะครับ


วีซ่าที่ได้หน้าตาก็จะเป็นแบบนี้ครับเขาจะสแตมป์ลงในพาสปอร์ตของเรากำหนดช่วงเวลาที่เข้าออกประเทศให้เราได้ 3 เดือน (บริษัทที่เป็นตัวแทนขอวีซ่าจะถามว่าเราเดินทางวันที่เท่าไหร่ ถึงเท่าไหร่แล้วจะจัดการให้เราเองครับ) ซึ่งแน่นอนว่าครอบคลุมเวลาที่เราเดินทางครับ และถ้าเราเข้าไปเที่ยวพม่าแล้ว สามารถอยู่ในพม่าได้ 28 วันตามที่กำหนดไว้ในวีซ่านะครับ

อีกเรื่องคือ เรื่องการแลกเงินครับ เท่าที่ผมเห็นในพม่าจะให้แลกเงินได้เฉพาะตระกูล US ดอลลาร์, ยูโร, สิงคโปร์ แล้วก็เงินเยนญี่ปุ่นเท่านั้นครับ เงินไทยเขาไม่มีเรทแลก ก็ต้องใช้วิธีการแลกเงินไทยเป็นเงิน US ดอลลาร์ก่อน ไปแลกที่ซุปเปอร์ริชที่ประตูน้ำ ตรงข้ามเซ็นทรัลเวิร์ลด์นะครับ (เอาพาสปอร์ตไปด้วยเวลาแลกเงินที่นี่ครับ มิฉะนั้นเขาไม่ให้แลกครับ) และต้องบอกว่าของธนบัตรแบบใหม่ๆเท่านั้น ห้ามมีรอยพับ รอยยับ หรือรอยหมึกพิมพ์ขีดเขียนใดๆบนธนบัตรนะครับ ได้มาแล้วก็เก้บให้ดีห้ามยับเด็ดขาดเดี๋ยวพี่หม่องไม่รับแลกครับ

เดินทางถึงพม่าก็แลกที่สนามบินได้เลยครับ ผมเดินทางดอนเมือง - มัณฑะเลย์ ก็แลกตรงอาคารขาเข้าที่สนามบินได้เลยครับ  เรทก็ 1 US ได้ 965 จั๊ตครับโดยประมาณ ได้ธนบัตรค่อนข้างใหม่ถึงใหม่มากด้วยครับ ไม่ได้เน่าตามที่ใครๆเขากล่าวกันนะครับ (มีเจอเน่าๆบ้างนิดหน่อยตามร้านขายของชำพวกธนบัตรมูลค่าน้อยๆ เช่น 50, 100, 500 จั๊ตครับ)


หน้าตาเงินพม่าเป็นแบบนี้ครับ ที่แลกมาใหม่ๆทั้งนั้นครับจากธนาคารที่สนามบินมัณฑะเลย์ครับ
เรื่องค่าใช้จ่ายอื่นๆผมก็ไปกัน 5 คน แลกเงินดอลลาร์เป็นเงินจั๊ตไว้ 300 US ดอลลาร์ เป็นค่ากินค่าเที่ยว ก็พออยู่ได้ครับ 9 วันพอดีครับ แต่จะต้องเผื่อส่วนอื่นไว้เป็นค่าเข้าชมสถานที่ด้วยครับ แต่หลังๆ จ่ายเป็นเงินจั๊ตก็ได้ครับ ค่าชมสถานที่ หลักๆก็เมืองมัณฑะเลย์ 10,000 จั๊ต(ประมาณ 300 กว่าบาท), เมืองพุกาม 15US, ค่าเข้าอินเล 10US, ค่าชมเจดีย์ต่างๆในหงสาวดี 10US, ค่าเข้าไจก์ถิโย(พระธาตุอินทร์แขวน) 6US, ค่าเข้าชเวดากอง 8US, ค่าเข้าเจดีย์สิเรียม 2US ครับ แต่ขอบอกว่าค่าเข้าเหล่านี้ที่อ่านจากข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาบางที่พวกเราก็ไม่ได้จ่ายครับ เพราะมันไม่มีคนมาเรียกให้เราจ่าย  แต่ที่สิเรียมตอนแรกนึกว่าไม่มีใครมาเก็บแล้ว พอเราทำท่าจะกลับก็มีคนมาตามทวงให้จ่ายค่าเข้าด้วย แรงมากครับ ถ้าไม่จ่าย โดนชี้มาแล้วครับ ถ้ายังทำเนียนจะโดนเพ่งเล็งหนักขึ้นๆ จนต้องไปจ่ายเลยครับ 555 โดนกดดันหนัก แต่ไม่ได้สนับสนุนให้โกงกันนะครับ แต่ที่ไม่ได้จ่ายคือเขาไม่ได้เรียกให้เราจ่าย เลยทำเนียนได้ แต่ที่อินเลหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับยังไงก็ต้องจ่ายแน่นอนเพราะพี่เล่นตั้งป้อมหน้าทางเข้าหมู่บ้านตรงถนนเข้าเมืองหญ่าวชเวเลยครับ 10US แน่นอนครับอันนี้ ไม่จ่าย ไม่ให้เข้าครับ เอาเซ่ๆ 5555

สรุปว่าถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จ่ายไปเถิดจะเกิดผล เพราะว่าถือว่าเป็นการทำบุญสถานที่ด้วยครับ แต่ก็น่ะ แอบแพงอ่ะ หลายๆที่ก็หลายตังค์นะเนี่ย...

ค่าใช้จ่ายอื่นๆก็มีค่าตั๋วเครื่องบินแอร์เอเชีย ผมจองได้ช่วงโปรโมชั่น ดอนเมือง-มัณฑะเลย์ แล้วก็ขากลับ ย่างกุ้ง - ดอนเมือง ได้ราคา 2200 บาทครับ แต่จะแพงตรงสายการบินในประเทศกับแอร์บากันครับ เพราะผมเดินทางหลายเมือง เวลาไม่พอ ต้องเดินทางด้วยเครื่องบินภายในประเทศครับ Routeที่ผมบินคือ พุกาม(สนามบินหญ่าวอู) - อินเล(สนามบินเฮโฮ)  และอีก Route คือ เฮโฮ - ย่างกุ้ง สองเที่ยวบินนี้หมดไป 8780 บาทครับ แพงมาก (ดูวิธีจองตั๋วเครื่องบินออนไลน์กับแอร์บากันที่ลิงค์นี้ครับ)ค่าโรงแรมก็จองกับอโกด้า โรงแรมที่ไจ๊ก์ถิโยแพงสุดครับ แต่ทั้งทริปค่าโรงแรมหารกันเฉลี่ยตกคนละ 7500 บาทครับ ถือว่าแพงใช้ได้เลยครับ แต่ถ้ามีเวลาและไม่กลัวเหนื่อยก็เชิญนั่งรถบัสเอานะครับ 5555

อีกเรื่องที่คุณจะเจอครับ คือบางสถานที่ท่องเที่ยวจะมีเด็กๆมาขอเงินคุณเช่นเจดีย์มิงกุน เจกเยอะมาก เดินตามเราเป็นกระบวนจนน่ารำคาญ คุณก็ต้องทำใจ หรือถ้าคุณจะใจดีให้ตังค์เขาก็ลองแลกแบงค์ 20 บาทไทยไปเยอะๆ แล้วไปแจกเด็กๆพวกนี้ก็ได้ครับ แต่อีกใจมาคิดถ้าไม่ให้ก็จะดีครับเพราะถาให้แล้วจะมาเป็นขบวนยิ่งกว่าเก่าแบบตื๊อไม่เลิกครับ สำหรับเจดีย์มิงกุน ผมเซ็งที่นี่ที่สุดแล้วครับ ที่อื่นก็มีเจอที่พระมหามัยมุนีครับ ไม่ใช่เด็กๆครับ แต่เป็นเณรมาขอตังค์ครับ เยอะมากๆ จะให้หรือไม่ให้ก็แล้วแต่นะครับ ถ้าสงสารก็ให้ไปเถอะครับ แต่ถ้าให้แล้วมากันเยอะๆก็รีบเดินหนีออกมาละกันครับ ไม่เป็นไร 

เรื่องอาหารการกินอีกเรื่องครับ ถ้าใครกินอาหารพม่าไม่ได้ แนะนำเอาอาหารแห้งเช่นมาม่าหรืออะไรก็ได้ติดตัวไป แต่ของพวกนี้ก็มีขายครับในร้านชำ หรือตามห้างทั่วๆไปในพม่า ครับ 

น้ำดื่มในพม่าขายเป็นขวดพลาสติกใสเหมือนบ้านเราครับ มั่นใจได้ในความสะอาดครับ ราคาขวดละตั้งแต่ 300 จั๊ต - 500 จั๊ต แล้วแต่สถานที่ครับ (ประมาณ 10-15 บาทไทย)  เดินทางในพม่าเดือนพฤษภาคมร้อนมั่กๆครับ เหงื่อไหลทั้งวันยิ่งกว่าอบซาวน่าสปาร้อน คุณจะเสียน้ำทั้งวัน เพราะฉะนั้นน้ำดื่มซื้อติดตัว ติดกระเป่า หรือ ติดรถเอาไว้ รับรองได้ดื่มน้ำกันทั้งวันจริงๆครับขอบอก เหอๆๆๆ

สิ่งที่คุณต้องใช้และจำเป็นมากๆคือทิชชู่เปียกครับ เอาไว้เช็ดเท้า เพราะทุกที่ที่เป็นศาสนสถานต้องถอดรองเท้าหมดครับ ถุงเท้าก็ห้ามใส่ แต่เท้าคุณจะดำมากๆๆๆๆๆๆ บางที่เจอฝนตกพื้นแฉะน้ำนองพื้นผสมดินทรายดำๆเละๆ ถ้าคุณไม่รู้สึกว่ามันไม่สะอาดก็ไม่ต้องพกไปก็ได้ครับ แต่ถ้าคิดว่าต้องเช็ดเท้าถ้าเจอแบบนี้เตรียมเอาไปเยอะๆเลยครับ

มีอะไรสอบถามเพิ่มเติมก็เมนท์ข้างล่างกันได้เลยครับ เดี๋ยวผมกลับมาตอบให้ครับ


วันที่ 1 สนามบินมัณฑะเลย์ เดินทางเข้าเมืองด้วยรถบัสฟรีแอร์เอเชีย เหมารถเที่ยวพระราชวังมัณฑะเลย์ วัดชเวนันดอว์ วัดกุโสดอว์ มัณฑะเลย์ฮิลล์

วันพุธ ที่ 14 พฤษภาคม 2557 (2014) พวกผมเดินทางไปพม่าครับ เป็นวันแรกของทริปนี้ นั่งเครื่องแอร์เอเชียจากดอนเมืองครับ เที่ยวบิน FD270 ออกจากดอนเมืองเวลา 10:50 น. ถึงสนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์เวลา 12:15 ตามเวลาท้องถิ่นที่พม่าครับ (เวลาที่พม่าช้ากว่าประเทศไทย 30 นาทีครับ)


อันดับแรก ชมวิดีโอกันก่อนนะครับ น้องออดี้เขาทำไว้ตอนไปทริปนี้ครับ

สภาพโดยรวมสนามบินมัณฑะเลย์ครับ ฟ้าครึ้มแต่แดดร้อนมากๆครับ 



ออกมาจากเครื่องบินก็ขึ้นรถบัสในรันเวย์ เพื่อไปยังอาคารขาเข้าครับ (ไม่ต้องสนใจนางแบบนะครับ)


นั่งรถบัสนี้มาแค่ 30 วินาทีก็ถึงอาคารขาเข้าแล้วครับ ที่จริงเดินเอาก็ได้แต่เขาคงกลัวผู้โดยสารร้อนครับ อิๆๆ ลงรถแล้ว ให้เห็นว่าลักษณะของรถบัสที่เขาใช้ทรานส์เฟอร์ผู้โดยสารในรันเวย์เป็นแบบนี้ครับ ไม่มีแอร์ครับ และขอย้ำว่าอย่าสนใจนางแบบครับ เพราะจะเจอนางแบบคนนี้อีกหลายรูปนะครับบอกไว้ก่อน ผมบอกว่าจะรีวิวให้คนอื่นอ่าน เธอก็ไม่เชื่อครับ ยายามขอมีส่วนร่วมในรูปตลอด ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆครับ ผมเลยขอแนะนำว่าเธอคนนี้ชื่อป้าส้มครับ (ครั้งที่แล้วก็ไปทริปเกาหลีมาด้วยกันแล้วครับ) ดูซิหอบอะไรมาพะรุงพะรังไปหมด 


ประตูทางเข้าอาคารขาเข้า Arrival Terminal สนามบินมัณฑะเลย์ครับ 


เข้ามาแล้วก็ผ่าน ตม. ครับ เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา เพราะเราขอวีซ่าเข้าพม่ามาเรียบร้อยแล้ว เข้ามาในตัวอาคารก็ขอบอกเลยครับ ว่าร้อนมากๆ ไม่มีแอร์เลยครับ เป็นสนามบินที่ประหยัดพลังงานสุดๆครับ (นางแบบของเรายืนยันได้ เริ่มตกมันแล้วครับ)


ก่อนออกมาตรงทางออกจะมีบูทแลกเงินดักรออยู่แบบนี้ครับ ผมก็จัดการแลกไปซะตั้ง 550 US ดอลลาร์ สำหรับใช้สองคนพ่อ (พ่อผมชื่อลุงเสริมครับ) แต่ขอเตื่นไว้ว่านี่คือสิ่งที่ผมพลาดไปครับ เพราะถ้าท่านเดินออกมาตรงประตูตรงทางออกข้างหน้าเลย (แต่ยังอยู่ในตัวอาคารขาเข้า) ท่านจะเจอบูทแลกเงินซึ่งเป็นของธนาคารอีก 3 ธนาคาร เรทจะดีกว่าบูทตรงนี้อีกหน่อยครับ แต่ถ้าแลกเยอะๆเหมือนผมก็เสียดายเหมือนกันครับ เพราะฉะนั้น ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งแลกในนี้ เพราะผมไม่รู้ตอนแรก คิดว่ามีตรงนี้ที่เดียว 


ออกมาจากตัวอาคารแล้วครับ ตรงนี้เป็นด้านหน้า สนามบินมัณฑะเลย์แล้วครับ 


Air Asia free bus is available from Mandalay Airport to Mandalay downtown area at 13:00 Hrs. Just show your boarding pass on to the staff of the bus. This bus will drop us at the road No.79 (Between 26th and 27th Road) nearby Mandalay Palace. รถชัตเติ้ลบัสฟรีของแอร์เอเชีย จอดรออยู่แล้วครับ ตอนนี้เหลือรอบเดียวแล้วนะครับ คือรอบ 13.00 น. (เมื่อก่อนมีสองรอบ ) เดินไปที่รถบัส ก็มีเจ้าหน้าที่ เอาสัมภาระเราไปวางที่เก็บกระเป๋าใต้ท้องรถแล้วเราก็ขึ้นไปนั่งรอในรถครับ


เรามาถึงเป็นกลุ่มแรก ยังไม่มีใครขึ้นมาเลยครับ ภายในรถชัตเติ้ลบัสฟรีของแอร์เอเชียครับ ผ้าคลุมเบาะนั่งเป็นเสื้อแอร์เอเชียครับ 


เวลา 13.00 น. รถก็ออกตรงเวลาเลยครับ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ (ในรูป ที่ใส่เสื้อสีขาว) มาเดินเช็คบอร์ดดิ้งพาสของเราครับ (เพราะฉะนั้นอย่าทำบอร์ดดิ้งพาสหายนะครับ) แล้วเช็คว่าเราลงที่ไหน พวกผมจะลงที่ป้ายสุดท้ายเลยครับ คือที่ข้างพระราชวังมัณฑะเลย์ (ใครจะไปสนามบินมัณฑะเลย์จากตัวเมืองมัณฑะเลย์ก็ให้มารอรอชัตเติ้ลบัสฟรีแอร์เอเชียที่นี่นะครับ อยู่ที่ ถนน 79 ข้างพระราชวังมัณฑะเลย์ ระหว่าง 26 กับ 27 ครับ)


นั่งมาประมาณ 45 นาที รถบัสก็พาเรามาถึงถนน 79 ข้างพระราชวังมัณฑะเลย์ครับ อยากจะบอกว่า พนักงานบนรถบัสที่ใส่เสื้อขาวในรูปพยายามขายทัวร์เราหลายครั้งมากครับ คะยั้นคะยอให้เราไป แต่ภาษาฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พวกผมเลยไม่เอา ลงจากรถแล้วก็มีแท็กซี่รออยู่เต็มเลยครับ ตอนแรกว่าจะเดิน เพราะดูในแผนที่แล้วไม่ไกล แต่พอเจอสถานที่จริงมันจับทิศทางไม่ถูก งงไเป็นไก่ตาแตก บวกกับอากาศร้อนแบบสุดๆ เลยตัดสินใจนั่งแท็กซี่ครับ บอกว่าไปโรงแรมฟอร์จูน (Fortune Hotel) มีนายหน้ามาให้ราคา 4000 จั๊ต (133 บาท) ก็ตกลงทันทีครับ ขี้เกียจคิดมากเพราะมากัน 5 คนยังไงก็หารกันตกคนละ 26 บาทเอง ซึ่งผมก็ขอแนะนำว่านั่งแท็กซี่น่ะครับดีแล้ว ไม่ใช่ใกล้ๆเลยครับ (แต่อาจเป็นเพราะรถต้องอ้อมถนนที่เป็นวันเวย์ด้วย ต้องอ้อมไปอ้อมมาเลยรู้สึกว่ามันไกลครับ) 
ตกลงราคากันแล้ว แบกสัมภาระขึ้นรถ นายหน้านั้นที่บอกราคาเราก็ขึ้นรถมากับเราด้วย นั่งรถไปกับเรา ประมาณจะว่าแบ่งเปอร์เซ็นต์กับเจ้าของรถครับ ซึ่งตามความรู้สึกผมว่าเจ้าของรถคุยภาษาอังกฤษเก่งกว่านายหน้าคนนี้เยอะครับ ไม่รู้จะขึ้นมาเกะกะรกรถเราทำไม 


ประมาณ 10 นาที รถก็พาพวกเรามาถึงโรงแรม Fortune Hotel ครับ จ่ายค่ารถไป 4000 จั๊ต ตามตกลงกันไว้ แล้วก็เข้าไปเช็คอินครับ ก่อนเช็คอินก็ตกลงราคาทัวร์กับตาป๊อบ คนขับรถ ว่าถ้าจะทัวร์พระราชวังมัณฑะเลย์และสถานที่รอบๆเมืองมัณฑะเลย์ รวมทั้งพรุ่งนี้ตอนเช้าให้มารับไปวัดพระมหามัยมุนีตอนตีสามครึ่งด้วย พาไปซื้อตั๋วไปโมนยวาด้วย เที่ยวสกายฮิล สะพานอูเบ็ง (เมืองอมราปุระ) เมืองอินวะ(อังวะ) เจดีย์มิงกุนด้วย แล้วพาไปขึ้นรถไปเมืองโมนยวาด้วย ราคาเท่าไหร่ พี่แกบอกว่า 120 USดอลลาร์ครับผมก็เป็นโรคไม่ชอบต่อรองราคาให้คนทำทัวร์เสียอารมณ์ครับ (เพราะผมขายทัวร์เหมือนกันที่สมุย ไม่ชอบเลยครับถ้าโดนต่อรองราคา 555 ) 120 US ก็ประมาณ 3,840 บาท หาร 5 ตกคนละ 768 บาท สำหรับทัวร์สองวันผมถือว่าไม่แพง ก็ตกลงทันทีครับ (เพราะในเกาะสมุยที่ผมขายฝรั่ง ทัวร์แค่ 5 ชั่วโมง รถบวกคนขับก็ 3500 บาทแล้วครับ นี่เป็นทัวร์ 2 วัน แถมมารับตีสามครึ่งอีกต่างหาก โอเคเลยครับราคานี้ แต่ถ้าใครคิดว่าแพงก็ลองต่อรองอีกทีก็ได้ครับถ้าเจอราคานี้) เดินทาง 5 คนกำลังดีครับ ไม่แน่่นรถเท่าไหร่ แถมได้หารค่าทัวร์ให้ถูกลงได้ด้วยครับ (แต่ลำบากนิดหนึ่งที่ย่างกุ้งครับ รถที่นั่งได้ 5 คน ไม่มีเลยต้องนั่งเบียดกันเหนื่อยเลยครับ เพราะเราไม่อยากนั่งสองคันแยกกัน) นัดให้ตาป๊อบคนขับมารับตอนบ่าย 2 เพื่ออกไปทัวร์ครึ่งวันบ่่ายครับ 


เช็คอินเสร็จก็เข้าห้องเลยครับ จะบอกว่าโรงแรมฟอร์จูนที่เราพักนี้เป็นแบบห้องน้ำรวมนะครับ แต่ห้องน้ำสะอาดมากครับ เขาทำความสะอาดตลอดเลยครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนถ้าใครพักโรงแรมนี้ แต่ห้องผม จองมานอน 3 คนในห้องเดียวกัน แม่บ้านยังไม่ยกเตียงเสริมมาให้เลยครับ พอผมท้วงก็ยกมาให้เป็นเบาะหนาๆ มาแทรกตรงกลางครับ นุ่มดี สะอาดดีครับ ผ้าเช็ดตัว ก็สะอาดครับ ใหม่หมดจดเลยทุกอย่าง แนะนำเลยครับ Furtune Hotel สำหรับใครที่อยากมาพักแบบประหยัดๆแต่คุณภาพโอเคแบบนี้นะครับ 


เช็คอินเสร็จ ก็เข้าห้อง พักผ่อนเล็กน้อย รอเวลานัดตอนบ่ายสอง ให้พี่ป๊อบ คนขับรถที่ติดต่อเอาไว้เมื่อกี้มารับเราไปทัวร์รอบๆเมืองมัณฑะเลย์ในครึ่งวันบ่ายครับ / ตาคนนี้มาด้วยอีกแล้ว ไม่รู้จะขึ้นมาทำไม เกะกะรถ พูดภาษาอังกฤษก็ไม่เก่ง พี่ป๊อบคนขับยังพูดได้ดีกว่าซะอีก 


ไม่ถึง 10 นาทีจากโรงแรม พี่ป๊อบก็พาเรามายังสถานที่แรกครับ คือพระราชวังมัณฑะเลย์ครับ 


ตรงนี้คือซุ้มขายตั๋วเข้าพระราชวังครับ ตั๋วราคา คนละ 10,000 จั๊ต (ประมาณ 333 บาท) สามารถใช้เป็นตั๋วเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในเมืองมัณฑะเลย์ได้เลยครับ

ตั๋วหน้าตาเป็นแบบนี้ครับ เป็นรูปวัดชเวนันดอว์  เวลาเข้าไปชมแต่ละสถานที่เขาจะแสตมป์หมายเลขสถานที่ ที่เราเข้าไปชมไว้ด้านหลังครับ ผมเห็นก็แต่ที่พระราชวังมัณฑะเลย์กับที่วัดชเวนันดอว์ครับที่มีจุดตรวจบัตร นอกนั้นไม่มีใครมาถามหาบัตรเข้าชมสถานที่จากเราเลยครับ (วันรุ่งขึ้นเราไปรัฐสะกายก็ไม่มีใครมาเก็บค่าเข้าชมสถานที่เหมือนกันครับ)


ชื่อประตูด้านที่เราซื้อตั๋วเข้าไปครับ 


ด้านหน้าพระราชวังมัณฑะเลย์มีปืนใหญ่ด้วยครับ พระราชวังมัณฑะเลย์สร้างโดยพระเจ้ามินดุง สร้างสร็จในปี พศ. 2400 พอถึง พศ. 2428 พม่าก็เสียเอกราชให้อังกฤษครับ และโดนทิ้งระเบิดด้วยในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พระราชวังของเดิมโดนไปไหม้ไปเกือบหมดที่เห็นในปัจจุบันคือเขาสร้างขึ้นมาใหม่แบบจำลองให้นักท่องเที่ยวมาชมครับ 


เข้าไปก็เจอรูปปั้นกษัตริย์ กับพระมเหสีครับ (ผมจำไม่ได้แล้วครับว่ากษัตริย์กับพระมเหสีชื่ออะไร หาข้อมูลเอาเองนะครับ 5555)

เดินเข้ามาข้างในเรื่อยๆก็จะเห็นความอลังการครับ นางแบบของเราถึงกับตะลึงเก๊กสวยอย่างเต็มที่ 


องค์นี้พระเจ้ามินดงครับ 


ยอดมณฑปสูงตระหง่านหลายชั้นมากครับ 


รูปนี้คือหอคอยพระราชวังมัณฑะเลย์ เป็นหอคอยไม้บันไดวนขึ้นไป สามารถขึ้นมาชมวิวข้างบนได้ครับ เพื่อชมพระราชวังในมุมสูงครับ 


สาวสวยที่สุดประจำแก๊งค์เราก็ไม่พลาดครับ กำลังนำพาท่านไปชมวิวความงามของพระราชวังมัณฑะเลย์จากด้านบนครับ 


เจอชาวบ้านพม่า ก็ขอถ่ายรูปเป็นที่ระทึกด้วยกันครับ


วิวจากหอคอยครับ เห็นหลังคาของหมู่อาคารต่างๆในพระราชวังมัณฑะเลย์ครับ 


รูปนี้เป็นมณฑปด้านหน้าทางที่เราเดินเข้ามาเมื่อครู่ครับ พี่ป๊อบให้เวลา 1 ชั่วโมง เราเดินเที่ยวกันแค่ 30 นาทีก็ออกมาแล้วครับ หมู่อาคารด้านหลังๆก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นะครับผมว่า แล้วก็ไม่มีคนเดินด้วย เปลี่ยวมากๆ ยิ่งได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการสั่งฆาตกรรมบรรดาราชวงศ์ทั้งหลายโดยพระนางศุภยลัตเป็นคนสั่งฆ่าโดยการทุบด้วยท่อนจันทน์แล้วใส่ศพลงในหลุมใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ นึกแล้วขนลุก ในกลุ่มผมที่ไป ไม่มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อน พอผมเล่าให้ฟัง วิ่งหนีหมดเลย 555 อันนี้แค่เบาะๆครับ ที่ป้อมกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ก็มีการฝังคนทั้งเป็นยัดหลุมเพื่อให้เป็นผีเฝ้าซุ้มประตูพระราชวังถึง 52 คน นับว่าสยองสุดๆครับ (ประตูต่างๆแห่งละสามคนมี12 ประตู = 36 คน ตามมุมวังก็ฝังจุดละคนรวมแล้ว 12 คน และใต้พระที่นังสิงหาสน์หรือที่ออกขุนนางของกษัตริย์ฝังอีก 4 คน รวมเป็น 52 คนพอดี)

เราเดินออกกันมาเร็วกว่ากำหนดเวลา พี่ป๊อบคนขับรอรับพวกเราอยู่ด้านหน้าแล้วครับ แกพาเราออกมาจากพระราชวังมัณฑะเลย์เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป นั่นก็คือวัดชเวนันดอว์ครับ (Shwenandaw Monastery) เป็นสิ่งที่เหลืออยู่จากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ไม่โดนไปไหม้หรือทิ้งระเบิดใส่ สร้างโดยไม้สักทองและปิดทองทั้งหลังแต่ปัจจุบันทองลอกออกไปหมดแล้วครับ เหลือแต่ที่เป็นเนื้อไม้จริงๆ ด้านในยังพอมีสีทองอยู่บ้างครับ หลังคาเป็นทรงปราสาท 5 ชั้น


แต่เดิมที่อารามหลังนี้อยู่ในเขตพระราชวังมัณฑะเลย์ เป็นที่เจริญภาวนาสมาธิของพระเจ้ามินดุงครับ และเป็นที่สิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามินดุงด้วยครับ หลังจากนั้นพระเจ้าธีบอก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อและได้ย้ายอารามมาไว้ที่จุดนี้ครับ ซึ่งอยู่นอกกำแพงวังก็เลยรอดจากการถูกไฟไหม้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ครับ 


ผนังด้านนอกครับ เป็นศิลปะการแกะสลักไม้ของพม่าอย่างวิจิตรงดงามจริงๆครับ 


ข้างในอีกมุมก็เป็นประมาณนี้ครับ จะเห็นได้ว่ายังมีสีทองอยู่ที่ผนังภายในตัวอาคารครับ


ให้ดูอีกรูปครับ พร้อมบันไดทางขึ้น


เดินเลียบกำแพงวัดชเวนันดอว์มาด้านหลังอีกนิดก็จะเจอกับอีกวัดครับ ชื่อว่าวัดอะตุมาชิ เป็นตัวอาคารสีขาวหลังใหญ่มากๆ สร้างสมัยพระเจ้ามินดุงเพื่อใช้เก็บพระไตรปิฎกหลวง เมื่อก่อนมีพระประธานและมีการประดับเพชรเม็ดใหญ่ให้กับพระประธานด้วยแต่ก็หายไปช่วงที่อังกฤษมายึดครองพม่า ต่อมาวัดก็โดนไฟไหม้หมดเลย ที่เห็นในปัจจุบันคือเขาสร้างขึ้นมาใหม่ครับ 



เดินขึ้นมาข้างบน ข้างในก็จะโล่งๆแบบนี้ครับ 


เจอรถเข็นขายผลไม้ดองหน้าวัดอาตุมาชิครับ 


รุมแม่ค้ากันใหญ่ เป็นมะม่วงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แต่ผมว่ามะม่วงพม่าให้กลิ่นและรสชาติคล้ายๆลูกละมุดทางปักษ์ใต้มากครับ หอม หวานดี มีน้ำจิ้มให้ด้วย ลองมาแล้วไม่มีใครท้องเสียครับ โอเคเลย ถุงละ 500 จั๊ต (ประมาณ 16 บาท)


เดินกลับมาทางวัดชเวนันดอว์เหมือนเดิม เจอร้านขายหมากครับ อยากถ่ายรูปให้ดูว่าที่พม่าไม่ใช้ปูนแดงกินหมากเหมือนบ้านเรานะครับ ปูนพม่าสีขาวแบบนี้เลยครับ แต่ผมไม่ได้ลองว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง 


ต่อมา พี่ป๊อบพาพวกเราไปเที่ยววัดกุโสดอว์ (Kuthodaw Pagoda) วัดนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 ในสมัยพระเจ้ามินดุง ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84000 พระธรรมขันธ์ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น แล้วสร้งมณฑปครอบเอาไว้ ถือได้ว่าเป็นพระไตรปิฎกเล่มที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ


ชาวบ้านพม่ามาทำบุญที่วัดครับ บกเว้นผู้ชายในรูปไม่ใช่พม่า แต่อยากทำเนียนไปเป็นคนพม่า 


บรรยากาศโดยรอบครับ  (เบื้องหลังจะเห็นมัณฑะเลย์ฮิล เป็นภูเขาอยู่ลิบๆครับ) พี่ป๊อบออกเสียงว่ามันฑะเลย์ฮี แกออกเสียงตัวสะกดไม่ได้ ขำๆ เห็นได้ชัดๆเลยครับ คนพม่าไม่ว่าจะพูดภาษาอะไร มักจะออกเสียงตัวสะกดไม่เป็น เป็นเหมือนกันแทบจะทุกคนก็ว่าได้เลยครับ


มณฑปครอบพระไตรปิฎกแบบนี้สุดลูกหูลูกตา 


ชาวบ้านมาขายของที่ระลึกครับ เป็นภาพโปสการ์ดรวมๆสถานที่ท่องเที่ยวในพม่าครับ 


ด้านในมีพระให้กราบไหว้ด้วยครับ 


เจดีย์ใหญ่ในวัดชื่อว่าเจดีย์มหาโลกมารชิน (Maha Lawka Marazein) มีความสูง 30 เมตร สร้งเลียนแบบเจดีย์ชเวสิกอง เมืองพุกาม ครับ 


ในวัดมีต้นพิกุลใหญ่ต้นนี้ด้วยครับ ( Star Flower Tree) อายุ 118 ปีแล้ว กิ่งก้านแผ่สาขายาวเหยียดจนต้องเอาไม้มาค้ำไว้ให้ครับ (ที่เห็นแดงๆ ยืนถือกระเป๋าดำๆในรูปคือนางไม้ประจำต้นพิกุลต้นนี้ครับ 5555 ไปได้แป้งทานาคามาจากไหนก็ไม่รู้)


พม่าก็มีหมาวัดนะครับ แต่เจ้าสองตัวนี้ไม่เป็นขี้เรื้อน ลุงเสริมบอกว่าอยากเอาไปเลี้ยงที่บ้านจังเลย 


หน้าวัดกุโสดอว์มีแผงลอยขายผลไม้ด้วยครับ ที่เห็นเขียวๆนี้คือแตงโมครับ ตอนแรกผมนึกว่าฟัก (ภาษาใต้เรียกขี้พร้า)


สถานที่ถัดมาพี่ป๊อบพาเรามาเที่ยวมัณฑะเลย์ฮิลครับ ด้านนี้เป็นทางสำหรับเดินขึ้น พี่ป๊อบแวะให้พวกเราถ่ายรูปกับฉิ่นตีก่อน ฉิ่นตีก็เป็นรูปปั้นสิงโตแบบนี้ครับ คนพม่าสร้างฉิ่นตี ตรงทางเข้าทุกวัดเลยครับ ที่นี่ก็ตัวใหญ่มากๆครับ 


อยากจะบอกว่าเลนส์กล้องผม สุดแสนจะธรรมด๊าธรรมดาครับ ถ่ายภาพกว้างๆไม่ได้ ภาพเลยออกมาเป็นแบบนี้ 555 แต่จะให้ดูทางขึ้นมัณฑะเลฮิลล์เฉยๆครับ ถ้าไม่ได้มากับรถก็เดินขึ้นทางนี้ ได้ข่าวว่ามีบันได 1729 ขั้น (อย่าลืมแทงหวยครับ งวดหน้าออกแน่ๆ)


พี่ป๊อบพาพวกเราขับขึ้นเนินมาอีกด้านครับ ถนนขึ้นมัณฑะเลย์ฮิลล์ช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลดจริงๆครับ ขึ้นมาจนสุดทางรถวิ่งก็จะต้องเดินเข้ามาในตัวอาคารด้านล่าง แล้วมีบรรไดเลื่อนไว้บริการฟรีครับไม่เสียตังค์ (ถอดรองเท้าไว้ในรถนะครับ ไม่ต้องถือขึ้นมาให้เกะกะ เพราะไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้า ถุงเท้า ขึ้นมาครับ


มาถึงข้างบนแล้วครับ จ่ายค่ากล้องไปตัวละ 1000 จั๊ตครับ (ประมาณ 33 บาท) ดูป้ายด้านหลังนะครับ อย่าดูนางแบบ 


ในที่สุด ป้าส้มก็เจอน้องสาวที่หายสาบสูญไป มาเก็บตังค์ค่ากล้องถ่ายรูปอยู่บนมัณฑะเลย์ฮิลล์นี่เอง 


องค์พระรอบๆทุกด้านเลยครับ ข้างบนทั้ง 4 ทิศ

วิวจากมัณฑะเลย์ฮิลล์นะครับ 


วิวเมืองมัณฑะเลย์สุดลูกหูลูกตาลิบๆ 


สถาปัตยกรรมเสา


ชมวิวรอบๆ


คนบ้าครับ กระโดด ในวัดในวาก็ไม่เว้น ไม่สำรวมเลย 


สาวสวยที่สุดประจำทริปบนยอดเขามัณฑะเลย์ฮิลล์ครับ ป้าส้ม 


นี่ก็คนบ้าครับ ตั้งใจจะกระโดดทำท่าซารังเฮโย แต่ป้าส้มกระโดดไม่ขึ้น  คนพม่าเดินผ่านมาคงคิดว่าเราเพี้ยน 


วิวอีกรูป 


หม้อน้ำมนต์มั้งครับ หรือน้ำดื่มศักดิ์สิทธิ์ อันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ 


ป้าส้มทำเนียน แย่งไม้กวาดชาวบ้าน พอถ่ายรูปเสร็จ ชาวบ้านงงกันใหญ่ ว่าทำไมกวาดแค่สองที สร้างภาพชัดๆ คิดเหรอว่าจะได้บุญ 


ไม่มีข้อมูลครับว่าคืออะไร ดูวิวอย่างเดียวละกันครับ 


เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนมัณฑะเลย์ฮิลล์ครับ 


กระจกลวดลายแบบพม่าครับ 


หลังจากนั้นพี่ป๊อบก็พาเราลงมาจากมัณฑะเลย์ฮิลกลับเข้ามาในเมืองตามเดิม ผ่านพระราชวังมัณฑะเลย์เหมือนเดิม เริ่มจะมืด อันนี้คูเมืองของพระราชวังมัณฑะเลย์ครับ 


หัวมุมกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ที่บอกว่าอย่างน้อย 1 ศพถูกฝังทั้งเป็นอยู่ข้างล่างครับ สยอง 


บอกพี่ป๊อบว่าจะหาอะไรกิน แกเลยพามาแถวนี้  Diamond Plaza แลกเงินข้างในก็ได้ครับ เห็นมีที่แลกตังค์อยู่มนห้างชั้นล่าง เรทพอๆกับสนามที่เราแลกมาครับ 


จิ้งหรีดทอดหน้า Diamond Plaza ครับ ตัวอ้วนๆ ชวนรับประทาน แต่ผมขอบาย  ถุงละ 500 จั๊ด


อันนี้เป็นรถเข็นขายเครื่องในหมูต้มเสียบไม้ ผมไม่กล้ากิน ป้าส้มบอกว่าอร่อยมากกินไปหลายไม้ ยืนกินกันแบบนี้เลยครับ แต่เห็นบ่นว่าแพง  จำราคาไม่ได้แล้วครับว่าไม้ละเท่าไหร่ 


เดินมาอีกหน่อย เจอร้านข้าวร้านนี้ครับ เจ้าของเป็นไทยใหญ่ พูดไทยได้นิดหน่อย


ตักกับข้าวมาเป็นถ้วยๆ เขาให้มาแบบถ้วยเล็กๆเองครับ กินไม่อิ่ม สไตล์แบบนี้ทุกที่ในพม่าครับ ถ้าจะเอาแกงใส่ถ้วย มื้อนี้กินไป 11,300 จั๊ตครับ (376 บาท) ท้องไม่เสียครับ 


แล้วก็เดินกลับไปที่รถ พี่ป๊อบจอดรอเราอยู่แล้ว พาพวกเราส่งกลับโรงแรม นัดพี่ป๊อบพรุ่งนี้เช้าให้มารับตี 3 ครึ่ง เพื่อไปชมพิธีล้างพระพักต์พระมหามัยมุนีครับ วันนี้จ่ายค่าทัวร์ไป 50% ก่อนครับคือ 60 US Dollars แล้วให้ทิปพี่ป๊อบไปอีก 5000 จั๊ต (166 บาท) ส่วนไกด์เถื่อนที่นั่งมากับเราด้วย ไม่ได้อยู่รอเราแล้วก็เลยดีใจ ที่ไม่ต้องจ่ายทิปให้ตาลุงคนนี้อีกคน เพราะว่ามานั่งไร้ประโยชน์มากๆ